แบงค์ แอสชัวร์รัน. คือ. อะไร.. คือการสร้างความเดือดร้อน ทางการเงินและทำลายสังคม เพื่อผลกำไรของตนแต่ผู้เดียว. หรือไม่

..  กำไร. ของแบงค์  คุยกัน จัง..     ว่าเท่านั้นเท่านี้   โตกว่าปีก่อน

โตจาก. การปลอ่ยสินเชื่อ.  

หรือ. โต จากค่าทำเนียน.  เอาตรงนั้น ตรงนี้

เช่น.  สมัคร sms. ให้ลึกค้า. โดย พละการ

คนแก่ ขายไอติม.  เอาเงินไปฝาก. 70000. ซึ่งเป็นเงินเก็บทั้งชีวิต. แต่กลับได้เป็น. ประกัน. ปีละ. 70000 แทน

และ ต้องฝาก ต่ออีก. 15 ปี  ถ้าไม่ฝากต่อ.  ก็กลายเป็น 0. ถ้าเวรคืน. ก็เสียค่าเสื่อมค่า. 30 %



,,,,  ทำบัตอร. Atm. ก็บอกไม่มี  มีแต่  atm. พ่วงประกัน. 999 บาท. แต่พอ เจ็บ จริง. เบิกไม่ได้  ข้อแม้เยอะ.ๆ. ๆ. ...ๆ


นิใช่มัย. การเติบโต. ของ. นาคารไทย.   ที่กำกับดึแลโดย แบงค์ชาติ    แล้วแบงค์ชาติ นี้   ชาติใคร


เข้าข้าง. ธนาคาร. หรือ. คุ้มครอง. ประชาชน ..


กำไร. ที มาจาก การ ขุดรีด. ทำลายสังคม.   เอาเงินถ่ายไป บ.  ประกัน ของตน. ที่  ไม่อยู่ใน ตลาดหลักทรัพย์.



ตอรวจ สอบไม่ได้


กอบโกย. และ เอาเงินออก. จากนั้น. ก็ ทิ้ง ธนาคาร ให้เป็น ซาก.    ใครว่าทำไม่ได้ละ. ใน ปัจจุบัน


.


สรุป ถ้าแบงค์ อยากขายประกัน. ควรไป ตั้ง สถานที่ใหม่  ไม่ควรเอามารวมกับแบงค์  

เพราะเป็น การเอาเปรียบ. บ. ประกันและ. คนขายประกั



.ปล.  ผมไม่ใช่  เจ้าของ บ ประกัน    ไม่ใช่   คน ขายประกัน

ผม แค่เด็ก   ป สาม.   คาบนี้  ครู ไม่ว่าง สอน.



ตั้ง. Ato. ก่อน    gjs   gstel   ก่อน"""



___________________________  


ขอแก้ไขเพิ่มเติม  นะครับ..  

เมื่อวันที่เขียน  ตกๆ  หล่นๆ  พิมพ์ผิดอีก  

เพราะ   แผ่นพลาสติกอิเล็คทรอนิก  ของมนุษย์โลก    ,มันพิมพ์ แล้วไม่ไปตามที่เราพิมพ์

ต้องใช้มือพิมพ์  ด้วยละ     ใช้การพูดแล้วให้มันพิมพ์เองไม่ได้  

แล้วเห็นช่วงนี้  มี  โฟน 6  อะไรนิละ  จะขายคนไปรอซื้อ  นอนรอหน้าร้าน

ส่วนมนุษย์โลกคนไทย  เห็นว่าไปจ้างคนหิ้วมา  ขายเครื่องละ 2 แสน
คนไทยรวยมากจริงๆ   เพราะ มีคนว่า ผมว่า  เจ้าเด็ก ป3  ไม่รู้หรือว่าคนไทยรวย  โฟน 5 ออกขายในไทย

คนไทย  วัยรุ่น   ไปต่อแถวซื้อกัน  มีแค่ 600 เครื่อง ไปแย่งกันจะตาย

แค่เด็ก  ป  3 มาพูดได้ไง  ว่าหนี้สิ้นภาคครัวเรือนเยอะ   คนไทยจน..  ไปอ่านหนังสือใหม่ ไป

______    

เริ่มเลยนะครับ  

ระบบธนาคาร  น่าจะเริ่มจาก ในยุโรป  นิแน่นอน ทุกคนน่าจะพอเดาได้

เพราะใน  ยุค ก่อนสมัยล่าอนานิคม   ก็มีตลาดหุ้น  หรือ จะเรียกว่าการเทรดสัญญา ล่วงหน้า

การซื้อขายเครื่องเทศ  จากอินเดีย  หรือ อินโดเนเซีย    เนเธอร์แลนด์เอาเรือออกทะเลมาขนเครื่องเทศมาขาย

แต่ไม่มีเงินทุนพอ จึงออกเป็น  สัญญาเงินลงทุน   และใบสัญญานี้ สามารถขายและเปลี่ยนมือได้
จึงเป็นจุดกำเนิดของ  ตลาดหุ้น   หรือ  ตลาดล่วงหน้า  ก็ได้

ส่วนในญี่ปุ่น  ก็มีตลาดหุ้นนะ  โดยมีคน  เอาราคาสินค้าทำเป็น  เป็นเส้น   จึงกลายมาเป็น กราฟแท่งเทียนอย่างทุกวันนี้


ส่วนในจีน เรานับ ย้อนไปซัก  400 ปีก็พอ  สมัยราชวงศ์   หมิง   มาถึง  แมนจู

ระบบเศรษฐกิจของจีน   ใหญ่ที่สุดในโลก

แล้วถ้านับ ย้อนไปอีกถึงราชวงศ์ถัง   สมัยนั้น พวกยุโรป  ยังโง่เขลา  กับการไล่ล่าแม่มด
ยังมัวแต่ทำสงครามอยู่เลย  เสื้อเกราะหนักๆ   เสื้อผ้าชาวบ้านก็เป็นผ้าดิบธรรมดา

แต่สมัยราชวงศ์ถัง  มีถังผ้าแพรสวยๆ  มีสิ่งประดิษฐ์ประดิษฐ์ทางอาวธมากมาย   มีการแต่งดนตรี   มีบทกวีมากมาย  

ในจีนมี ระบบตั๋วเงิน  เหมือนที่เราเห็นในหนังจีน นั้นละ  มีตั๋วเงินเดินทางไปแต่และเมือง
พวกจอมยุทธต้องไม่ทำงาน ไม่พกเงิน   แต่ดันมีเงินจ่ายค่าข้าว  ค่าโรงเตี้ยม   ซะงั้น
แล้วก็มี    สำนักเปาเปียว  ที่เหมือน  บริษัท  rcl   tta   psl   thai   ในปัจจุบันนิละ

ค่อยรับจ้างขนสินค้า   ขนคน  ไปส่งยังที่ต่าง


กลับมาที่ไทย   ครับ..
จากที่ผมเรียนมา ก็  การใช้เงิน แบบธนบัตร  เริ่มมาในรัชกาลที่ 4  แต่ไม่นิยม จึงเลิกไป

และนำกลับมาใช้อย่างเป็นทางการอีกครั้ง  ในรัชกาลที่ 5  หลังจากการปฎิรูปประเทศ
หลังจากที่เราถูกฝรั่งเศล ปล้นเงินไป เงินสะสมของพระมหากษัตริย์ไทย คือรัชกาลที่ 3
ที่สะสมไว้  และ รวมจากเงินของเจ้านายต่าง ๆ  มาจ่ายและ เงินถุงแดง
ลากลงเรือรบฝรั่งเศล  ถนนที่ถุงเงินถูกลาก  เป็นลอยลึกเลยทีเดียว
ธนาคารไทยแห่งแรก ก็ สยามกัมมาจล..  คือ scb  ในปัจจุบันนิละ
และ ตั้งมาไม่นาน ก็เกิดความว่ามีการ ทุจริตที่สาขา ราชวงศ์  หรือ ท่าช้างผมจำไม่ค่อยได้นะ

แต่น่าจะเป็นราชวงศ์  เพราะย่านการค้าของคนจีนสมัยนั้น  อยู่แถวราชวงส์

โดยผู้จัดการสาขา ซึ่งเป็นชาวจีนแอบยักยอกเงินออกไป  เพราะขาดทุน จากการแอบไป
ทำสัญญาข้าว   บังเอิญราคามันพุ่งขึ้นมากกว่า ที่คิดไว้   คือมองผิดทาง คิดว่าจะลง

มันดันขึ้น  นั้นละ.  เหมือนเม่าอย่างเราๆ เลย   ขา s ตาย

จึงยักยอกเงินไป กว่า 3 ล้านบาท  3 ล้านบาทไทยในสมัยนั้น  ถือว่ามากกว่างบประมาณ

ของแต่ละกระทรวงอีก  เพราะ อย่างสมัยรัชกาลที่ 5 เรื่องทวิภพยัง พูดเลยว่า

รถสมัยแม่มณีทำไมแพงจัง  คันละ 30   40 ล้านบาท

แค่งบประมาณแผ่นดินสยาม  ก็แค่ปีละ 15 ล้านเอง ...

ธนาคารไทยพาณิชย์ ล้มแน่ๆ   จึงต้องมีการเพิ่มทุนโดย พระคลังข้างที่ ถ้าผมจำไม่ผิดนะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
สิ่งที่ร้ายคือ เจ้าหน้าที่ธนาคารโกหกลูกค้า ว่าเป็นการฝากเงิน ได้รับผลตอบแทน 180%
มันมั่วมาก 180% ไม่ใช่คิดจากเงินต้น มันคิดจากทุนประกันชีวิต
หลอกได้แม้แต่คนจน ธนาคารพวกนี้ชั่วร้ายมาก ที่ผมเห็นมาคือ SCB
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
วิกฤติธนาคารกรุงไทยวันนี้ โดยผู้บริหารชื่อ นายวรภัค ธันยาวงศ์

เราอยู่กรุงไทย ตอนนี้กรุงไทยเปลี่ยนรูปแบบเป็น บริษัท ขายตรงไปแล้ว ตั้งแต่เปลี่ยนผู้บริหารมาเป็น นายวรภัค ธันยาวงศ์ และพรรคพวกจากที่เดิมของเขา (พรรคพวกที่พามานี่เงินเดือนหลายแสนถึงหลักล้านนะคะ) ที่พามาเสวยสุขและทำตัวใหญ่โต กันในกรุงไทย  ก่อนหน้านี้ก็มีหนังสือเวียนต่อต้านคนพวกนี้ว่อนไปทั่วทั้งกรุงไทยเลยหละ

โดยเฉพาะประกันชีวิต เน้นมากๆต้องรายงานยอดทุกวัน ต้องเขียนรายงาน Referral การขายทุกวัน กลับดึกกว่าเดิมมาก ตอนเช้าก็ต้องถอนหายใจรีบมาประชุมสรุปงานขาย(ประกัน)ทุกวัน  ถอดรูปแบบโครงสร้างการบริหารงานมาจากที่เดิมทั้งดุ้น แม้แต่สโลแกนธนาคารยังคล้ายกันเลย Going together กับ Growing together แหม...ช่างบังเอิญ
ขายประกันไม่ได้ก็โดนบี้ตลอดยังไงก็ต้องขายให้ได้ไม่ว่าทำอย่างไร บอกลูกค้าว่าเป็นเงินออม เงินเก็บ ดอกเบี้ยสูง ห้ามพูดว่าประกัน ให้บอกแต่ข้อดีห้ามบอกข้อเสียของกรมธรรม์ หลอกลวงลูกค้าอย่างไรก็ช่าง (ลูกค้าก็สุดระอา พนักงานก็สุดกดดัน มองหน้ากันไม่ติดแล้ว) หากขายไม่ได้ทางเขตจะเรียกตัวไปด่า จนสุดท้ายต้องซื้อเอง และก็มีการจัด AXA WALK RALLY คือการออกไปเดินขายประกันในวันหยุด ทุกเดือนเพื่อกระตุ้นยอดขายประกัน การทำงานที่เคยมีความสุขตอนนี้ทุกข์ตลอด ได้แต่ภาวนาว่าวันนี้ขอให้ขายประกันได้เถิด สาธุ....

                พนักงานผูกคอตายเพราะโดนผู้บริหารเขตเรียกไปด่า เนื่องจากขายประกันไม่ได้ กลายเป็นข่าวใหญ่โตไปทั่วทั้งธนาคาร ก็มีแล้วเมื่อปีที่แล้ว จนทางผู้บริหารต้องปิดข่าวกันให้แซดและอ้างว่าพนักงานท่านนั้นมีอาการทางประสาท เพราะกลัวเรื่องจะแดงออกสื่อ (ก็ใช่สิคนตายเขามาเถียงไม่ได้) พนักงานแต่ละคนก็คล้ายกับสัตว์ที่อยู่ในกรงแข่ง ต้องแข่งกันทำยอดประกันอย่างหนัก หากใครขายไม่ได้แต่เพื่อนขายได้ก็จะเครียดพาลอารมณ์เสียแสดงความไม่พอใจลึกๆออกมา
                งานเลี้ยงของธนาคารแต่ละครั้ง ถ้านายวรภัค และพรรคพวกมาก็จบ จากงานเลี้ยงที่น่าจะสนุกกลายเป็นงานอบรมขายตรงในทันที
สโลแกนการทำงานของ นายวรภัค คือ งานเป็นผลคนเป็นสุข (สงสัยคงจะเป็นสุขกันแต่พวกคุณนะ วรภัค) น่าจะเปลี่ยนสโลแกนใหม่เป็น “ประกันชีวิต AXA จงเจริญ”
ทุกวันนี้ พนักงานโอดครวญกันแทบทั้งองค์กร ว่าเมื่อไรคนๆนี้จะไปสักที(กรรม)

การเดินตลาดต้องออกไปขายประกันทุกวัน โดยรถยนต์ส่วนตัวนะไม่ใช่รถธนาคาร ค่าน้ำมันก็ไม่ได้ค่าสึกหรอก็ไม่มี
ถ้าสาขาไหนขายประกันทะลุเป้าก็ให้ไปเที่ยวเลยทั้งสาขาเลย แล้วให้พนักงานสาขาอื่นมาทำงานแทนทั้งที่เป็นวันหยุดของเขา (แบบนี้ก็มีด้วย งง)
ยอดประกันชีวิตคือตัวชี้วัดทุกอย่าง ถ้าขายประกันได้ก็จะเป็นที่รักของนาย แต่ถ้าขายไม่ได้ถึงแม้ว่าจะทำงานดีแค่ไหนชีวิตนี้จบ
จากกรุงไทยที่เคยบริการข้าราชการและ ประชาชน ตอนนี้มีแต่ลูกค้าบ่นว่าพนักงานมัวแต่ขายประกันไม่สนใจประชาชนเลย การขายประกันต้องมาก่อน นั่งรอไปเถอะลูกค้า
ลองเข้าดูหน้า website ธนาคารซิคะ เจอแต่หน้าคนๆนี้ทุกๆหน้า ไม่รู้ว่าเป็นบริษัทส่วนตัวหรือองค์กรรัฐวิสาหกิจกันแน่(หลงตัวเองซะไม่มี)สงสัยคงจะเก็บกดจากที่เดิมที่ไม่เคยได้โผล่หน้าให้ใครเห็น คุณน่าจะเป็น พรีเซ็นเตอร์  ประกันชีวิต AXA เองซะเลยเผื่อจะขายได้มากมายอย่างที่คุณเร่งยอดขายหนักหน่วงอยู่ทุกวัน
พนักงานก็ต้องลาออกอยู่เรื่อยๆเพราะถูกกดดันยอดประกันอย่างหนัก เฉพาะช่วงนี้คงเป็นหลักพันแล้วมั๊ง เราก็ไม่รู้จะทนอยู่ได้นานสักเท่าไหร่  หากไม่มีลูกๆครอบครัวที่ต้องหาเลี้ยง คงจากไปแล้วหละองค์กรที่เคยภูมิใจเคยรักและภักดี ถ้าย้อนเวลาได้เราจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับงานธนาคารเด็ดขาด
สงสัยชาวกรุงไทยต้องใชกรรมอีกนาน...เฮ้อ วรภัค

นี่แหละวิกฤติกรุงไทยโดยผู้บริหารสามานย์คนนี้และเหล่าพวกพ้อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่