บันทึกลึกลับ!!.....ตอน : 10 อันดับการค้นพบสิ่งเร้นลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่?

หากว่า เราจะรวมเอาสิ่งต่างๆที่เหล่านักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร มีที่มาจากที่ไหนมาเสนอทั้งหมดนั้น คงมากมายนับไม่ถ้วน...

เพราะโลกของเรานี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล เกินกว่าที่มนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราจะค้นพบได้ทุกอย่าง....

ซึ่งสิ่งแปลกๆ เร้นลับ ลึกลับซับซ้อนบนโลกนี้นั้นมันช่างเยอะซะละเกิน ...

เกิดเราจะนำมาสารยายทีเดียวคงได้นั่งเขียนกันเป็นปีๆ ฮ่า...
(อันที่จริงขี้เกียจค้นหาข้อมูลหรอก อิอิ...)

วันนี้ก็เลยจะลองยกมาสัก 10 อย่างก่อนละกัน ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่า
บางอย่างท่านผู้อ่านคงจะยังไม่เคยรู้จักกับพวกมันเป็นแน่แท้...

ว่าแล้วก็เข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะ พวกเรา...ไปชมพร้อมๆกันได้เลย!!



ชมคลิปแบบย่อๆ ได้ที่นี่เลยจ้ะ!!

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

มาที่อันดับที่ 10 กันก่อนเลยจ้ะ...


อันดับที่ 10 The Salzburg Cube

ซอล์ซเบิร์ก คิวบ์ หินลึกลับ แห่ง ประเทศออสเตรีย



ในปี 1885 กระทาชายนาย Reidl ซึ่งเป็นพนักงานทำงานอยู่ที่โรงหล่อเหล็ก Braun iron ใน Schondorf ประเทศ Austria ได้ค้นพบสิ่งประหลาดลึกลับที่เรียกว่า Salzburg Cube (หรือเรียกกันอีกชื่อว่า Wolfsegg Iron) เขาพบมันในขณะที่กำลังจะทุบหาถ่านหิน มันมีน้ำหนัก 785 กรัม ขนาดของมันเท่ากับ 67 x 67 x 47mm



มันมีรอยแตกดูแปลกตาและมีหลุมเล็กๆ น้อยๆ ตะปุ่มตะปั่มไปทั่วทั้งก้อน แถมยังมีสีแปลกๆตามรอยร่องลึกของรอยแยกของมัน เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน จึงนำมันไปให้กับทางนายจ้างดู และในที่สุดมันก็ถูกรัฐบาลนำเก็บไปไว้ยังพิพิธภัณฑ์ Heimathaus ในกรุงเวียนนา ประมาณ 1 ปีต่อมาอาจารย์ที่พิพิธภัณฑ์ชื่อ Adolf Gurlt ได้ทำการศึกษาลูกบาศก์และเชื่อว่ามันน่าจะเป็นเศษชิ้นส่วนของอุกกาบาต



Adolf Gurlt ผู้ศึกษาหินลึกลับ

แต่จากการศึกษาต่อไปโดยพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในกรุงเวียนนา พิสูจน์ให้เห็นว่ามันไม่ใช่อุกกาบาต แต่มันเป็นชิ้นส่วนที่ทำขึ้นมาจากแหล่งที่ไม่รู้จัก นักวิจัยคิดว่ามันน่าจะเป็นถ่านหินที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา ไม่ใช่ธรรมชาติสร้างเอง และมีอายุอย่างน้อย 60 ล้านปี...

เอ้...หรือว่ามันจะเป็นเศษชิ้นส่วน เดอะ คิวบ์ จากดาวของออฟติมัส ไพม์ กันนะ อิอิ...




อันดับที่ 9 Screaming Mummy

มัมมี่กรีดร้อง แห่ง ประเทศอียิปต์



ภาพมัมมี่ที่แสดงสีหน้ากรีดร้องเจ็บปวดโหยหวน มือเท้าถูกมัด ยังคงตรึงอยู่ในใจผู้ที่พบเห็น จึงได้มีการศึกษากันว่า เจ้าของมัมมี่ผู้นี้คือใครกันแน่?



ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1886 Gaston Masperro อธิบดีกรมศิลปากรอียิปต์ ได้ทำการเปิดผ้าพันมัมมี่ของฟาโรห์และราชินีกว่า 40 มัมมี่ ออกมาดู ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นมัมมี่ที่พบจากสุสาน ในหุบเขาแดร์ เอลบาห์รี เมื่อปีค.ศ.1881 มัมมี่ที่ถูกค้นพบนี้มีทั้งของฟาโรห์รามเสส ฟาโรห์เซติที่ 1 ฟาโรห์ทัตโมสิสที่ 3



แต่มีมัมมี่เพียงหนึ่งเดียวที่แตกต่างไปจากมัมมี่อื่นๆ มันคือที่มัมมี่โลงศพไม่มีการตกแต่งลวดลายใดๆ ไม่ได้มีการจารึกเบาะแสว่าเป็นใคร และเมื่อเปิดโลงดูทุกคนที่พบเห็นก็ต้องตกตะลึงสะพรึงตา เพราะสิ่งที่ใช้พันมัมมี่ตนนี้คือหนังแกะหรือไม่ก็หนังแพะ ถือว่าเป็นวัสดุที่ไม่บริสุทธิ์ตามความเชื่อของการทำมัมมี่ในสมัยโบราณ มีแต่คนที่ไม่บริสุทธิ์ ที่เคยทำชั่ว ทำเลวเท่านั้น ถึงจะถูกพันด้วยหนังสัตว์...



มัมมี่ตนนี้เป็นเพศชาย และมีสีหน้าที่แสดงความเจ็บปวด การที่ไม่มีจารึกใดๆ อาจจะหมายความว่า บุคคลผู้นี้จะต้องถูกสาปแช่งไปตลอดกาล เนื่องจากชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า การบ่งบอกว่ามัมมี่เป็นใครนั้น จะทำให้วิญญาณได้ก้าวเข้าไปสู่ชีวิตหลังความตาย พวกเขาจึงตั้งชื่อมัมมี่ปริศนานี้ว่า "Man E"

เป็นเวลาเกือบ 130 ปี หลังจากพบ "Man E" คณะนักวิทยาศาสตร์ต่างก็ใช้เทคโนโลยีล่าสุด ทั้งซีทีสแกน เอกซเรย์ เทคโนโลยีการสร้างหน้าใหม่ เพื่อสืบดูว่า "Man E" คือใคร ทำไมถึงถูกประณามสาปแช่งเช่นนี้....



Bob Brier นักโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัย Long Island ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมัมมี่มามากมายเชื่อว่า "Man E" น่าจะไม่ตายโดยธรรมชาติ เขาคงจะถูกสังหารด้วยยาพิษและใบหน้าที่แสดงออก น่าจะมาจากความทุกข์ทรมานก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั่นเอง



มีหลายทฤษฎีที่ระบุตัวตนของ "Man E" ทั้งมีผู้เชื่อว่า "Man E" คือ เจ้าชาย Pentewere พระโอรสของฟาโรห์รามเสสที่ 3 ผู้สมคบคิดกับพระมารดาของเขาเองคิดการกบฏ ด้วยการลอบสังหารของฟาโรห์รามเสส แต่ถูกจับได้เสียก่อนจึงได้รับโทษ



ทั้งยังมีผู้เชื่อว่า "Man E" คือผู้ว่าการนครอียิปต์ แต่เสียชีวิตขณะอยู่ต่างแดน มีการนำศพกลับมายังอียิปต์เพื่อทำการฝัง มีผู้เชื่อว่าลักษณะการทำมัมมี่บ่งชี้ว่า "Man E" ไม่ใช่ชาวอียิปต์ แต่เป็นสมาชิกราชวงศ์ฮิตทิต ศัตรูของราชวงศ์อียิปต์โบราณ



โดยพระนาง Anaksunamun พระชายาม่ายของฟาโรห์ Tutankhamen ที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ไป เขียนจดหมายไปหากษัตริย์ของราชวงศ์ฮิตทิต เพื่อขอให้พระองค์ส่งเจ้าชายองค์ใดองค์หนึ่งมาอภิเษกกับพระนาง แลกเปลี่ยนกับเจ้าชายจะได้รับการยกย่องให้เป็นฟาโรห์ของอียิปต์ ส่วนพระนาง Anaksunamun จะได้มีอิทธิพลอยู่ต่อไป แต่เมื่อเจ้าชายเดินทางมาถึงอียิปต์แล้วกลับถูกปลงพระชนม์



ภาพประกอบจากภาพยนตร์ชุด The Mummy

แต่ละทฤษฎีต่างมีผู้สนับสนุนจำนวนหนึ่ง เช่น ดร.Susan Redford นักอียิปต์วิทยาจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตท ระบุว่า มีกระดาษพาไพรัส (ปาปิรุส) โบราณที่กล่าวถึงแผนของราชินีทิฟที่ต้องการสังหารพระสวามี เพื่อให้ เจ้าชาย Pentewere ขึ้นครองราชย์ แม้ว่าเจ้าชายไม่ได้อยู่ในรายชื่อของผู้มีสิทธิ์ครอบครองราชบัลลังก์

ดร.Susan Redford กล่าวว่า "มีเจ้าหน้าที่ในราชสำนักสนับสนุนการสังหารฟาโรห์รามเสส แต่ไม่นานแผนการนี้ก็เปิดโปงออกมา จึงมีการนำตัวผู้สมคบคิดไปลงโทษ สำหรับเจ้าชายในพาไพรัสเขียนไว้ว่า ได้รับการไว้ชีวิต เป็นไปได้ว่า การที่พระองค์ทรงมีฐานะเป็นเจ้าชาย จึงเปิดโอกาสให้ปลงพระองค์เอง ด้วยการให้ดื่มยาพิษ"



ดร. Susan Redford

ผลของการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาศึกษา พบว่า "Man E" ได้รับการชำแหละศพอย่างที่บุคคลสำคัญของอียิปต์ได้รับ ผลการตรวจกรามและฟันระบุว่า เป็นชายอายุไม่เกิน 40 ปี ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจเป็นเจ้าชาย Pentewere และจากการสร้างใบหน้าขึ้นมาใหม่ ทำให้เชื่อว่า "Man E" ไม่น่าจะใช่เจ้าชายจากราชวงศ์ฮิตทิต แต่เป็นผู้ที่มีหน้าตาดี มีกรามยาว มีสันจมูกเด่นชัด



เมื่อผลการศึกษาที่ออกมายังไม่สามารถสนับสนุนทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งได้ว่า "แมน อี" เป็นใคร เพียงแต่ประเด็นที่ว่า อาจเป็นเจ้าชายเพนทีวีรีมีน้ำหนักมากที่สุด กรมศิลปากรของอียิปต์จึงจะนำดีเอ็นเอของ "Man E" และฟาโรห์รามเสสที่ 3 มาวิเคราะห์ เพื่อหาว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือด เมื่อได้ผลออกมา เราก็อาจทราบว่าใครกันเป็นเจ้าของมัมมี่ร่างนี้ และเกิดอะไรขึ้นกับเขา...


ทั้งลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน และ แสนจะน่าสะพรึงซะจริงๆ...



อันดับที่ 8 Ever-Burning Lamps

โคมไฟที่ไม่มีวันดับมากว่าพันปี



โคมไฟที่มีการเผาไหม้โดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงใดๆ ที่ถูกค้นพบทั่วโลกในช่วงยุคกลาง โดยโคมไฟเหล่านี้ถูกปิดผนึกอยู่ในหลุมฝังศพเพื่อที่จะให้แน่ใจว่าผู้ตายนั้นมีแสงสว่างเพื่อให้พวกเขาใช้เป็นแสงนำทางไปพบกับชีวิตใหม่หลังความตายตามความเชื่อของแต่ละพื้นที่ สิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือ โคมไฟเหล่านี้ถูกจุดขึ้นมาในตอนที่ฝังศพ ซึ่งเมื่อผ่านมาหลายร้อยปี และมีการค้นพบหลุมศพ โคมไฟพวกนี้ก็ยังคงจุดสว่างไม่ได้ดับไปตามกาลเวลา ที่สำคัญ มันไม่ได้ใช้เชื้อเพลิงใดๆ!!

ในประมาณปี 1540 ในระหว่างที่ สมเด็จพระสันตะปาปา Paul ที่ III ค้นพบหลุมฝังศพบนเส้นทาง Appian Way ที่กรุง Rome ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นหลุมศพของ Tulliola ลูกสาวของ Cicero และเธอเสียชีวิตไปใน 44 ปีก่อนคริสตศักราช...



โคมไฟที่มีพบในหลุมศพนั้น ยังมีการเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา ผ่านมากว่า 1,550 ปี แต่มันก็กลับดับลงเมื่อสัมผัสกับอากาศ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการค้นพบครั้งนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือของเหลวใสที่ไม่มีใครรู้จัก โดยมันถูกวางอยู่ใต้ร่างของศพ นักวิจัยเชื่อว่าของเหลวพวกนี้น่าจะเป็นสารที่ใช้รักษาศพให้ไม่เน่าเปื่อยในสมัยนั้น

  

หลุมศพของ Cicero

บนเกาะ Nesis ในเขาอ่าว Naples ได้มีการค้นพบหลุมฝังศพหินอ่อน และเมื่อมันถูกเปิด ภายในก็พบว่าโคมไฟที่ถูกจุดอยู่ยังคงส่องสว่างถึงแม้มันจะผ่านมากว่า 1,500 ปี...



140 ปีก่อนคริสตกาล ในบริเวณใกล้เคียงของกรุงโรมไฟก็พบว่า มีการเผาไหม้ของโคมไฟในหลุมฝังศพของ Pallas ลูกชายของกษัตริย์ Evander โดยโคมไฟซึ่งได้รับการจุดมานานกว่า 2,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมันก็ไม่เคยดับไม่ว่าจะใช้น้ำ หรือใช้ลมเป่ามันก็ไม่หยุดการเผาไหม้ มีวิธีเดียวที่จะดับเปลวไฟนี้ได้ก็คือการระบายน้ำแปลกๆออกจากชามโคมไฟ...



Pallas และ กษัตริย์ Evander

นี่เป็นเพียงตัวอย่างจากหลายๆแห่งที่ถูกค้นพบ และ น่าแปลก ที่โคมไฟเหล่านี้กลับไม่ดับลงมานานกว่าพันปี แต่มันกลับดับลงเมื่อสัมผัสถูกอากาศ หลายคนเชื่อว่า มันเป็นผลมาจากเวทย์มนต์ดำของเหล่าปิศาจ...



ภาพประกอบจากเกมส์ Tomb Raider

หลายครั้งที่มีผู้ที่คิดค้นกรรมวิธีผลิตโคมไฟที่ไม่เคยดับเหล่านี้มาไว้ใช้ในโลกปัจจุบัน แต่ถึงแม้วิทยาการจะล้ำเลิศแค่ไหน ก็ยังไม่มีใครสามารถผลิตมันขึ้นมาได้อีกเลย...

โอ้ว...คนโบราณเก่งกว่าวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ซะอีกนะ....

เดี๋ยวมาต่อกันตรงกระทู้ข้างล่างนะครับ...ขอพักเคลียร์งานสักครู่...

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

พาพันขอบคุณ.................พาพันรีบ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่