นำที่อ่านหนังสือ Is The Bible True? มาเขียน:ศตวรรษแห่งการต่อสู้ให้ไบเบิล (2)

ต่อตอนที่ ๒ บทที่ ๑
    
เข้าส่วนเนื้อหา   บทนี้จะละเอียดกว่าบทนำและมีเนื้อหามากกว่า    ท่านใดพบข้อผิดพลาดในข้อเท็จจริงโปรดทักท้วงแสดงความเห็นได้เลย   บางตอนเกินกว่าปัญญาของจขกท.ที่จะตอบได้  ต้องอาศัยท่านอื่นช่วยเหลือต่อไป

    ข้อพระคัมภีร์ไบเบิลภาษาไทย  นำมาจาก พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย-อังกฤษ ฉบับ ๑๙๗๑
...........................................................................
ศตวรรษแห่งการต่อสู้
การดิ้นรนต่อสู้ให้ไบเบิล

“ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่”  ยอห์น ๑:๑

    ปลายศต.ที่๒ แห่ง คศ. เป็นช่วงเวลาที่กรุงโรมมีความเงียบสงบอย่างผิดสังเกต  ทั้งนี้เนื่องจากการข่มเหงคริสตจักรยุคแรกอย่างรุนแรง นักปรัชญาสายเพลโต ชื่อ เซลซัส กระพือความรู้สึกต่อต้านคริสเตียนที่ยังคุกรุ่นอยู่   โดยการเขียนวิจารณ์เยาะเย้ยถากถางคัมภีร์คริสเตียน และศาสนายูดาย. งานของเขาชื่อว่า” True Doctrine ลัทธิถูกต้อง”   

เซลซัส บอกว่า  “ตั้งแต่เรื่องการทรงสร้าง จนถึงเรื่องการฟื้นจากตาย คำสอนตามคัมภีร์ ไร้สาระอย่างสิ้นเชิง  กิตติคุณ เรื่องราวชีวิตของพระเยซู ก็หลอกลวง  ใครเชื่อที่โมเสส  เขียน   ว่าเป็นเรื่องจริง เป็นคนที่ถูกหลอก  ให้เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว”

    เซลซัส  สรุปว่า คริสต์ศาสนา เป็นลัทธิอันตรายที่ให้คนซื่อๆไม่คิดมากเข้ามาเชื่อ  ทั้งยังเป็นเรื่องงมงาย ต้องขจัดออกไปให้หมด,  ยังส่งเสริมความกระด้างกระเดื่องไม่ภักดีต่อโรม,   เซลซัส ว่าอย่างนั้น.

    การโจมตีอย่างเจ็บปวดของเซลซัสที่มีต่อไบเบิล ไม่ใช่   ไม่มีคำตอบ. ประมาณศต.ที่ ๓  โอริเจน นักเทววิทยาคริสเตียน แห่ง  อเล็กซานเดีย ผู้มีผลงานมากมาย และเป็นผู้คงแก่เรียนคัมภีร์ที่มีชื่อเสียง   ตอบเซลซัส    ด้วยผลงานจำนวน ๘ เล่ม ชื่อว่า “โต้เซลซัส” คำคัดค้านของโอริเจน ประเด็นต่อประเด็น ที่มีต่อนักปรัชญานอกรีต และปกป้องจารึก   ได้รับการยกย่องว่า เป็นคำแถลงของคริสเตียน ที่สามารถโน้มน้าวจิตใจ มากที่สุด.


แต่การต่อสู้ ให้ไบเบิล  ยังไม่จบสิ้น  ภายในเวลาไม่กี่สิบปี  คศ.๓๐๓ จักรพรรดิโรมัน ไดโอครีเทียน ออกมาตรการที่รุนแรงยิ่งกว่า.  หวังจะกำจัดคริสต์ศาสนา ออกไปจากเมืองหลวงของจักรวรรดิให้หมดสิ้น  เขาบัญชาให้เผาไบเบิลทุกเล่มในเมือง   รวมทั้งโบสถ์ทุกแห่ง หรือบ้านทุกหลังที่พบ.  

คริสเตียนคนใดที่ปฏิเสธ    ไม่นมัสการพระนอกรีต   จะถูกจับขัง, จนคุกโรมันเต็มไปด้วยผู้ถูกคุมขัง  แต่ความเชื่อยังไม่ตาย และไบเบิล ยังไม่หมดไป.    ไดโอครีเทียน  ใช้เวลาข่มเหงคริสเตียน เกิดขึ้นประมาณสามปี เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. ๓๐๓  จนถึงปี ค.ศ.๓๐๖,  จักรพรรดิคอนสแตนติน  ขึ้นครองราชย์ (ตั้งแต่ปี ๓๐๖ ถึงปี ค.ศ.๓๑๒ ) พระองค์รับเอาทั้งคริสตศาสนาและจารึกคัมภีร์  จนขึ้นสู่จุดสูงสุดของอาณาจักรโรมัน.

    นี่ไม่ใช่การโจมตีไบเบิลครั้งแรกและครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน  ตลอดช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาไบเบิล  และสิ่งที่ไบเบิลกล่าว  กระตุ้นให้มีการถกเถียงโต้แย้ง  ไม่เพียงระหว่างคจ.กับฝ่ายตรงกันข้ามเท่านั้นแต่ภายในชุมชนของผู้เชื่อและระหว่างผู้เชื่อด้วยกันเอง, คนที่เชื่อเองต้องพยายามทำความเข้าใจและนำสาระสำคัญของคัมภีร์ไปใช้ถกเถียงในยุคสมัยของตนเอง

    นับแต่ยุคของคอนสแตนติน    มาจนถึงยุคปัจจุบัน  ไบเบิลมีสถานะใหม่  จากเดิมมีสถานะของความศักดิ์สิทธิ์ในแวดวงของคจ.และในวิหารเท่านั้น  เรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและสัญลักษณ์ในคัมภีร์ถูกนำไปถัดทอเป็นวัฒนธรรมตะวันตก, มีอิทธิพลในด้านศิลปะ ดนตรี  วรรณคดีและการเมือง ปรัชญาและเศรษฐศาสตร์.

คนที่ยอมรับไบเบิลบอกว่า    ไบเบิล “เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์”  ยืนยันว่าเป็นพระคำจากการดลใจ  ปัจจุบัน คนนับล้านๆคน  ในระยะเวลาหลายร้อยปี  ได้อ่านเรื่องการทรงสร้างและการเปิดเผยประวัติศาสตร์คนอิสราเอล

    แต่วัฒนธรรมที่ขยายออกไปในโลกสมัยใหม่ คือความสงสัย  ในช่วงระยะเวลาสองร้อยปีของการถกเถียงหลังยุคเรืองปัญญา(ยุคเรืองปัญญา ตั้งแต่กลางช่วง ค.ศ.1600 จนสิ้นสุดที่ท้ายของช่วงปี ค.ศ.1700 ซึ่งเป็นยุคที่ความสามารถในการใช้เหตุผลของมนุษย์ได้รับการยกย่องเชิดชู) ได้เริ่มแล้ว.  ขณะที่ ไบเบิลมีอยู่ทุกหนทุกแห่งและเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุด ตลอดกาล,  

วัฒนธรรมการเห็นด้วยกับไบเบิลเริ่มอ่อนแรง  สิ่งต่างๆ ที่เคยยึดถือ     ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาและสิทธิอำนาจของคัมภีร์เริ่มไม่เหมาะสมอีกต่อไป.  เสียงส่วนใหญ่ของคนอเมริกันจำนวนมากยังกล่าวว่า พวกเขาเชื่อว่าไบเบิลเป็นพระคำของพระเจ้า   แต่มีคนอีกจำนวนมากที่สงสัยเกี่ยวกับความสัตย์จริงของหนังสือเล่มหนึ่งที่มีเรื่องอัศจรรย์  การเปิดเผยของพระเจ้า  และการแทรกแซงของพระเจ้า  ที่พวกเขาพบว่าไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่.

    คนที่สงสัยผลิตงานเขียนออกมาเรื่อยๆ และสร้างความไม่สบายใจ ให้กับคนที่เชื่อในไบเบิลเป็นเวลาหลายปี  โจมตีความเชื่อถือได้และสัตย์จริงของคัมภีร์.  แต่ยุคใหม่นี้ต่างจากยุคของเซลซัส , การโจมตีในยุคใหม่ในศต.ที่๒๐   ไม่ได้มาจากคนที่ประกาศตัวว่าเป็นศัตรูของคจ.  แต่มาจาก ผู้สอนในสถาบันการศึกษาที่ได้ศึกษาคัมภีร์มาอย่างดี   เข้ามาศึกษาพิจารณาคัมภีร์ที่โดยมีอุปนิสัยตีความหรือให้ความเห็นตามสถานการณ์แบบคนทั่วไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่