“โธ่เว้ย!” คนตาปรือสบถหงุดหงิด ดีที่ฝากล่องเจ้าปัญหาเลื่อนหลุดติดมือมาด้วย มิฉะนั้นเขาคงได้พาลพาโลยกใหญ่ไปกว่านี้แน่ ขณะสายตากำลังจดจ้องสิ่งที่ซ่อนอยู่ในกล่อง ประตูห้องซึ่งงับสนิทพลันเปิดตึงเข้ามาด้วยแรงลมเจือกลิ่นอับเอียนคุ้นจมูก
กระดาษแผ่นน้อยใหญ่ในกล่องไม้พลิ้วปลิวกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นห้อง เจ้าของบ้านหนุ่มชักสีหน้า เขม้นมองช่องประตูเปิดอ้าอย่างพินิจพิเคราะห์ เพียงชั่วแล่นกลิ่นอับคลุ้งและกระแสลมเย็นเฉียบเสียดผิวก็อันตรธานสิ้น สรรพสิ่งในห้องนิ่งสนิทไร้การเคลื่อนไหวราวกับเมื่อครู่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น อาชากรค่อยๆ ยันกายอ่อนเปลี้ยลุกจากฟูกนอน นึกสงสัยอยู่ครามครัน ก่อนหน้านี้ในห้องหนังสือก็หนหนึ่งแล้ว... มือใหญ่ดันประตูฝืดหนักปิดกลับตามเดิม เลื่อนไม้ขัดสลักไว้จนแน่นหนา เกิดช่วงดึกลมแรงซัดกระแทกเข้ามาอีกจะได้ไม่ต้องสะดุ้งตื่นกลางคัน
แม้ลึกๆ ลางสังหรณ์จะร้องเตือนว่าสิ่งที่เขาพบเจอในคืนนี้อาจเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของ ‘บางสิ่ง’ ที่สิงสถิตอยู่ในบ้านอักษร กระนั้นชายหนุ่มก็มิได้หวาดหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใด เพราะหากเป็นผีบ้านผีเรือนหรือวิญญาณบรรพบุรุษจริง พวกท่านคงมาเพื่อปกปักรักษา มิใช่โผล่มาหลอนหลอกรังควานเป็นแน่
ทายาทเตชะกฤดาการยกนิ้วชี้เลือดซึมกดปาดริมฝีปาก ใช้น้ำลายต่างยาฆ่าเชื้อ บาดแผลปลายนิ้วเล็กน้อยเสียจนเขาไม่คิดใส่ใจมันมากไปกว่านั้น ร่างสูงเดินโงกเงกกลับเตียง หวังจะทิ้งหัวลงหมอน ทว่ากระดาษแผ่นเล็กแผ่นน้อยที่เกลื่อนกลาดช่างรบกวนความคิดจิตใจเสียเหลือเกิน เขายังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าบันทึกในกล่องเป็นของใครและจารึกสิ่งใดไว้บ้าง
คนร่างสูงถอนหายใจหน่ายหนัก นึกระอานิสัยตัวเองพลางก้มลงไล่เก็บกระดาษหลายสิบแผ่นขึ้นส่องดู เส้นสายลายมือพลิ้วตวัดเล่นหางอย่างมีเอกลักษณ์ อีกทั้งหมึกสีดำสลับแดงโดดเด่นสะดุดตา ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของกล่องและบันทึกเหล่านี้ไม่ใช่ใครไหนเลย ...ปู่ดามพ์ของเขานั่นเอง จะว่าผิดหวังที่ไม่ได้พบหลักฐานของต้นตระกูลท่านอื่นก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะทั้งพล็อตนิยาย ภาพวาดปราสาทราชวังรูปทรงวิจิตร แผนที่เมืองสมมติ ภาพร่างตัวละครหลากหลายลักษณะ สร้างความตื่นตะลึงพึงใจให้เขาไม่น้อย
แสงตะเกียงเจ้าพายุหรี่สลัวส่งสัญญาณว่าต้องปั๊มลมเพิ่ม ท่ามกลางความลางเลือนหม่นมัวชายหนุ่มรู้สึกคล้ายว่ามีดวงตาวับวามคู่หนึ่งจับจ้องเขามาจากใต้เตียง กระดาษแผ่นสุดท้ายตกอยู่ที่นั่น
อาชากรเอื้อมหยิบกระดาษแผ่นยาวซึ่งมีรูปวาดหญิงสาวผมยาวร่างอรชรออกจากเงาสลัว เดินถือไปใกล้ดวงไฟเพื่อจะดูให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาดเพราะฤทธิ์ยา เมื่อครู่เขาเห็นดวงตาหญิงสาวในภาพสะท้อนแสงไฟวิบวับราวกับมีชีวิต
ร่างสูงทรุดนั่งกับพื้นมันเลื่อมใต้แสงอุ่นเรื่อเรืองของตะเกียงเจ้าพายุ ตาปรือพยายามเบิกกว้าง เพ่งมองภาพวาดหญิงงามในมือ
...ไม่เลย เขาไม่ได้ตาฝาดพลาดเพี้ยน ดวงเนตรสีนิลของเจ้าหล่อนเปล่งประกายระยับล้อแสงไฟละม้ายแววตามนุษย์ มิหนำซ้ำริมฝีปากหยักโค้งยังยกยิ้มกริ่มประหนึ่งท้าทายอยู่ในที อาชากรมองอย่างทึ่งจัด ปู่วาดภาพนี้อย่างไรหนอถึงได้ดูมีชีวิตชีวานัก นิ้วหยาบไล้เกลี่ยแผ่วเบาบนผิวกระดาษเนียน คงเรียกได้ว่าหญิงผู้นี้งามเกลี้ยงเกลาหมดจด หากเรียวหน้าคมหวานนั้นปราศจากรอยเปื้อนจุดเล็กๆ
“หือ ไม่ใช่ฝุ่น” เขาหลุดอุทานเบาๆ เมื่อพบว่าจุดดำกระจิริดบนโหนกแก้มซ้ายของเธอมิใช่ฝุ่นผงดังคาด แต่เกิดจากน้ำหมึกที่จิตรกรจงใจแต่งแต้มต่างตำหนิเม็ดไฝ นี่ช่างผิดวิสัยจิตต์ประภัสผู้นิยมความงดงามสมบูรณ์แบบเสียจริง
“ศศินารา เนตรอภิรักษ์...” อาชากรพึมพำชื่อไพเราะที่เขียนกำกับอยู่ด้านข้างอย่างจะทำความรู้จักนางในภาพ ไม่ทันรู้ตัวเลยว่ายามขยับมือ ปากแผลที่ปลายนิ้วชี้ปริเปิด เลือดหยดเล็กซึมติดด้านหลังภาพวาดเป็นด่างดวง ทว่าชั่วพริบตาจุดสีแดงฉานนั้นพลันเหือดหายไปในเนื้อกระดาษสีขาวขุ่นจนสิ้น ไม่ทิ้งคราบรอยใดๆ ให้ผิดสังเกต
ตาหรี่ปรือกวาดผ่านคำบรรยายเจ้าหล่อนคร่าวๆ ...เจ้าอารมณ์ ทะเยอทะยาน ทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ต้องการ ชอบเรียกร้องความสนใจ... นิสัยใจคอประมาณนี้ เห็นทีคงไม่พ้นตำแหน่ง ‘นางอิจฉา’ ในนิยายเรื่องไหนสักเรื่องเป็นแน่ ผู้กำกับหนุ่มขยับยิ้มเนือยๆ ให้กับภาพสตรีที่ยิ่งพิศก็ยิ่งงามผุดผาด ใบหน้าคมหวานระเรื่อดั่งมีเลือดฝาดน่าอัศจรรย์ ชั่วขณะใจหนึ่งนึกเตลิดไปว่าถ้าหากศศินารามีตัวตนขึ้นมาได้จริงคงดี ชีวิตเขาคงง่ายกว่านี้มาก ร้ายก็แสดงออกมาให้เห็นเลยว่าร้าย ไม่ใช่แสร้งตีหน้าซื่อตาใสปกปิดความโหดร้ายเลือดเย็นเช่นใครบางคน ...ใครบางคนที่เขาพยายามลืมเลือน
ศศินารายังคงปรายตายิ้มยั่วไม่รู้ร้อนหนาวอยู่เพียงในแผ่นกระดาษสีขุ่น อาชากรหัวเราะเก้อ สำนึกว่าตนเองอุปาทาน คิดอะไรฟุ้งซ่านไร้สาระเกินไปแล้ว
“กู้ดไนท์ คนสวย” เขาเอ่ยแผ่วพร่า เก็บภาพวาดและบันทึกทั้งหมดกลับลงกล่อง ดับไฟตะเกียงแล้วทอดกายอ่อนล้าลงบนเตียงหลังใหญ่ ผ้าแพรเพลาะห่มแนบเนื้อช่วยให้คนขี้หนาวนอนอุ่นสบาย
ขณะเคลิ้มหลับ กลิ่นหวานละมุนลอยอวลหยอกล้อจมูก ...กลิ่นคล้ายน้ำหอมผู้หญิง ครั้นแล้วภาพดวงหน้าสวยซึ้งของ ‘ใครคนนั้น’ ก็ผุดขึ้นในความทรงจำ แม้เปลือกตาปิดสนิทแต่เขากลับเห็นเธอแจ่มชัด สติเลอะเลือนเลื่อนไหลย้อนกลับไปในห้วงวันวาน
‘อาดให้ดาได้ทุกอย่างจริงเหรอ’ เสียงหวานใสขับไล่ความเงียบงันน่าเบื่อหน่ายของค่ำคืนแสนเหน็บหนาวในห้องใต้หลังคาคับแคบ
‘อื้อ’ เขาตอบอู้อี้เพราะเกยคางไว้กับเรือนผมนุ่มลื่นหอมกรุ่น
‘แม้แต่เดือนกับดาว?’ เธอรวนกลับ แต่เขาฟังอย่างไรก็น่ารัก
‘อือ...’ มือใหญ่ลามไล้ไปตามท่อนแขนกลมกลึง ระเรื่อยไปจนถึงหลังมือเนียน แล้วสอดประสานเข้ากับนิ้วเรียวเล็กน่าทะนุถนอม กระชับแน่น ถ่ายเทไออุ่นซึ่งกันและกัน
‘ดูนี่...’ มือใหญ่เกาะกุมมือน้อยเอื้อมออกจากใต้ผ้าห่มหนา ยื่นนิ้วกางกั้นดวงจันทร์แสงสกาวที่ลอยเด่นอยู่กลางช่องกระจกหน้าต่างบานเล็ก เมื่อมองขึ้นไปจะเห็นจันทร์ทอประกายประดับนิ้วนางข้างซ้ายอย่างเหมาะเจาะ
‘แหวนของเรา’ เขาพูดคล้ายละเมอ
คนเนื้อนิ่มในอ้อมแขนว่าพ้อกลั้วหัวเราะคิก
‘พ่อคนช่างฝัน...’
หญิงสาวขยับหนีจากวงแขนใหญ่ที่ก่ายกอด ร่างเพรียวบางขาวผ่องพลิกขึ้นคร่อมเหนือเรือนกายกำยำ สัดส่วนโค้งเว้าเปล่าเปลือยนาบแนบไปกับแผ่นอกแกร่ง เธอจ้องมองเขาด้วยตาพราวและรอยยิ้มซุกซนชวนหลงใหล
‘กลับไปแล้ว เราแต่งงานกันนะ’ เขาเอ่ยจริงจัง ส่งสายตาเว้าวอนอ่อนหวาน
กลีบปากสีระเรื่อโน้มลงเย้าหยอกสันจมูกโด่งแทนคำตอบ แล้วค่อยลามเลื่อนเคลียเคล้าริมฝีปากหยัก ดูดดื่ม... อุ่นซ่าน... เนิ่นนานราวนิรันดร์
‘ดารักอาด…’ เสียงหวานขานกระซิบข้างหู
‘ดารักอาดนะ’
ปัง!!! ปัง!!! ปัง!!!
เสียงปืนแผดก้องทลายภาพวันชื่นคืนสุขพังภินท์ชั่วเสี้ยววินาที ร่างใหญ่กระตุกเฮือก ปวดร้าวช่วงอกอย่างสาหัส ลมหายใจสะดุดขาดหายเป็นห้วงๆ สติที่หลงเหลือริบหรี่นั้นดิ้นรนหาทางรอดสุดกำลัง
‘แค่ฝัน! แค่ฝันไป! ไม่ใช่เรื่องจริง!’ พยายามพร่ำเตือนตัวเองไม่ให้หลงเพริดไปกับภาพหลอน มือซ้ายปัดป่ายหาสร้อยข้อมือลูกประคำที่สวมอยู่ เครื่องรางของต่างหน้าบิดาชิ้นนี้ช่วยเขาให้หลุดพ้นจากฝันร้ายได้เสมอ
เมื่อขยับนิ้วแตะลูกกลมเลื่อมร้อยเป็นเส้นบนข้อมือขวาสำเร็จ ค่อยเคลื่อนนับเม็ดประคำไปตามลำดับ ความสงบนิ่งในใจพลันบังเกิด ไม่นานนักภาพเหตุการณ์เลวร้ายในอดีตและความเจ็บปวดปางตายก็เลือนหายไป ลมหายใจกลับมาสม่ำเสมอดังปกติ
อาชากรพ่ายแก่ความเหนื่อยอ่อนและฤทธิ์ยาแก้แพ้อากาศผล็อยหลับไปในที่สุด โดยไม่มีโอกาสรับรู้เลยว่าสิ่งมหัศจรรย์พันลึกอย่างที่สุดกำลังอุบัติขึ้นข้างกายเขานี่เอง
อากาศธาตุเปล่งแสงระยิบวิบวาบลอยคว้างเหนือฟูกนอน ละอองแสงเล็กราวเถ้าธุลีถักทอก่อตัวทีละเล็กทีละน้อย จนเริ่มเห็นเป็นรูปร่าง...เลือดเนื้อ...
.
.
แสงไฟหน้ารถเก๋งสีบรอนซ์เงินคันหรูดับลงทันทีที่จอดสนิท หญิงสาวร่างเพรียวบางสมส่วนในชุดราตรีสั้นเปิดไหล่สีกุหลาบขับผิวก้าวลงจากฝั่งคนขับ คืนเดือนหงายเช่นนี้มองอะไรก็ชัดตาไปหมด ทั้งบ่อน้ำพุอลังการด้านข้าง และสวนไม้ดัดหลากรูปทรงที่อยู่ถัดออกไป
“คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงอีกแล้วสินะ” ดาดาวพึมพำ แหงนมองที่มาของแสงลออด้วยรอยยิ้มบาง
“ดา! แกหายหัวไปไหนมา ฮะ! แล้วทำไมแกถึงปิดเครื่อง! จงใจหนีใช่มั้ย โอ๊ย! อกฉันจะแตกตาย!” เสียงเข้มที่ตวาดคาดคั้นมาจากทางมุกหน้าบ้านทำให้รอยยิ้มอ่อนเลื่อนหลุดจากใบหน้างาม
“ดามีธุระค่ะแม่” เธอตอบสั้นๆ สำรวมกิริยาและน้ำเสียง
“ธุระบ้าธุระบออะไรของแก! ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่านัดคุณอลงกรณ์มาทานข้าวเย็นที่บ้าน!” นภาสวนกลับฉุนเฉียว นึกอยากจะหยิกลูกสาวเสียให้เนื้อเขียวโทษฐานทำเสียเรื่อง แต่ก็ติดตรงที่ว่าทุกอณูเนื้อตัวดาดาวล้วนเป็นเงินเป็นทอง ขืนมีร่องรอยฟกช้ำดำด่างเห็นทีจะราคาตกมากไปกว่านี้
“ดาไปพบผู้ใหญ่มาค่ะ” ดาราสาวกลั้นใจตอบนิ่งขรึม ผู้ใหญ่ที่กล่าวนั้นหมายถึงเจ้าของสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ซึ่งเธอเพิ่งเซ็นสัญญาย้ายเข้าสังกัดได้ไม่นาน
มารดาขมวดคิ้ว “ไปพบคุณอาทิตย์... อย่าบอกนะว่าแกยังไม่เลิกคิดเรื่องนั้น! จนเขาส่งบทนางโกงมาฟาดหน้า แกยังไม่ตาสว่างอีกรึไงยะ! สมองน่ะมีมั้ย คิดอะไรอยู่ ของคายทิ้งไปแล้วนึกยังไงจะเอามาเคี้ยวใหม่!”
หญิงสาวลอบถอนหายใจ “ตอนนี้อะไรๆ ก็ไม่เหมือนเก่าแล้วนะคะ อีกอย่าง...ดาทำตามใจแม่มาตลอด ตอนนี้ดาขอตัดสินใจอะไรเองบ้าง ดาไปนอนก่อนนะคะ...เหนื่อยจัง” เอ่ยตัดบทแล้วเดินเลี่ยงเข้าบ้านทันที ไม่สนใจเสียงล้งเล้งที่ไล่ตามหลัง
ดาดาวก้าวฉับขึ้นบันได ตรงไปยังห้องส่วนตัว เมื่อปิดประตูบานใหญ่และกดล็อกลงกลอนแน่นหนาแล้วจึงค่อยรู้สึกหายใจโล่ง ดวงตาที่บรรจงตกแต่งอย่างสวยงามปรายไปทางโต๊ะมุมห้อง ริมฝีปากบางเคลือบสีชมพูวาวยกยิ้มเย็น
บท
‘ตารกา’ แห่ง
‘เถ้าปรารถนา’ ถูกหย่อนลงถังขยะอย่างไม่ใยดี
...ก็จะต้องสนใจมันอีกทำไม ในเมื่อเธอกำลังจะได้ครอบครอง
‘บทอื่น’ ที่คู่ควรในอีกไม่ช้า...
.
.
.
(บุพเพเนรมิต : บ้านอักษร ๐๓/จบ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้๐๑ http://pantip.com/topic/32335599
๐๒ http://pantip.com/topic/32373709
คุณ ณ พิชา : ขอบคุณจ้า บทที่๑ เป็นทั้งอินโทร ทั้งทิ้งเบาะแส ทั้งเริ่มเรื่องเลยค่ะ ถ้างงตรงไหนสะกิดบอกได้นะคะ 
คุณหมูครับ : ใช่แล้วจ้า พิเศษเพิ่มไข่เพิ่มนมเลยแหละ รอลุ้นแบบเป็นตัวเป็นตนตอนหน้านะคะ
ขอบคุณคุณมานีโอลา คุณ CAN LIVE และสองคะแนนโหวตด้วยนะคะ
บทหน้ามาลุ้นกันต่อ ตัวละครหลักเรื่องนี้มี ๕ ตัวค่ะ อิรุงตุงนังน่าดู ตอนหน้าได้เจอตัวละครสำคัญอีกตัวแน่ๆ ค่ะ
ภูมิใจนำเสนอเพราะคนเขียนเอ็นดูเป็นพิเศษ ฮี่ๆ
...ว่าจะเล่าที่มาของพล็อต แปะโป้งไว้ตอนหน้าละกันเนอะ คืนนี้งอมแล้ว
บุพเพเนรมิต ๐๓
กระดาษแผ่นน้อยใหญ่ในกล่องไม้พลิ้วปลิวกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นห้อง เจ้าของบ้านหนุ่มชักสีหน้า เขม้นมองช่องประตูเปิดอ้าอย่างพินิจพิเคราะห์ เพียงชั่วแล่นกลิ่นอับคลุ้งและกระแสลมเย็นเฉียบเสียดผิวก็อันตรธานสิ้น สรรพสิ่งในห้องนิ่งสนิทไร้การเคลื่อนไหวราวกับเมื่อครู่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น อาชากรค่อยๆ ยันกายอ่อนเปลี้ยลุกจากฟูกนอน นึกสงสัยอยู่ครามครัน ก่อนหน้านี้ในห้องหนังสือก็หนหนึ่งแล้ว... มือใหญ่ดันประตูฝืดหนักปิดกลับตามเดิม เลื่อนไม้ขัดสลักไว้จนแน่นหนา เกิดช่วงดึกลมแรงซัดกระแทกเข้ามาอีกจะได้ไม่ต้องสะดุ้งตื่นกลางคัน
แม้ลึกๆ ลางสังหรณ์จะร้องเตือนว่าสิ่งที่เขาพบเจอในคืนนี้อาจเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของ ‘บางสิ่ง’ ที่สิงสถิตอยู่ในบ้านอักษร กระนั้นชายหนุ่มก็มิได้หวาดหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใด เพราะหากเป็นผีบ้านผีเรือนหรือวิญญาณบรรพบุรุษจริง พวกท่านคงมาเพื่อปกปักรักษา มิใช่โผล่มาหลอนหลอกรังควานเป็นแน่
ทายาทเตชะกฤดาการยกนิ้วชี้เลือดซึมกดปาดริมฝีปาก ใช้น้ำลายต่างยาฆ่าเชื้อ บาดแผลปลายนิ้วเล็กน้อยเสียจนเขาไม่คิดใส่ใจมันมากไปกว่านั้น ร่างสูงเดินโงกเงกกลับเตียง หวังจะทิ้งหัวลงหมอน ทว่ากระดาษแผ่นเล็กแผ่นน้อยที่เกลื่อนกลาดช่างรบกวนความคิดจิตใจเสียเหลือเกิน เขายังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าบันทึกในกล่องเป็นของใครและจารึกสิ่งใดไว้บ้าง
คนร่างสูงถอนหายใจหน่ายหนัก นึกระอานิสัยตัวเองพลางก้มลงไล่เก็บกระดาษหลายสิบแผ่นขึ้นส่องดู เส้นสายลายมือพลิ้วตวัดเล่นหางอย่างมีเอกลักษณ์ อีกทั้งหมึกสีดำสลับแดงโดดเด่นสะดุดตา ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของกล่องและบันทึกเหล่านี้ไม่ใช่ใครไหนเลย ...ปู่ดามพ์ของเขานั่นเอง จะว่าผิดหวังที่ไม่ได้พบหลักฐานของต้นตระกูลท่านอื่นก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะทั้งพล็อตนิยาย ภาพวาดปราสาทราชวังรูปทรงวิจิตร แผนที่เมืองสมมติ ภาพร่างตัวละครหลากหลายลักษณะ สร้างความตื่นตะลึงพึงใจให้เขาไม่น้อย
แสงตะเกียงเจ้าพายุหรี่สลัวส่งสัญญาณว่าต้องปั๊มลมเพิ่ม ท่ามกลางความลางเลือนหม่นมัวชายหนุ่มรู้สึกคล้ายว่ามีดวงตาวับวามคู่หนึ่งจับจ้องเขามาจากใต้เตียง กระดาษแผ่นสุดท้ายตกอยู่ที่นั่น
อาชากรเอื้อมหยิบกระดาษแผ่นยาวซึ่งมีรูปวาดหญิงสาวผมยาวร่างอรชรออกจากเงาสลัว เดินถือไปใกล้ดวงไฟเพื่อจะดูให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาดเพราะฤทธิ์ยา เมื่อครู่เขาเห็นดวงตาหญิงสาวในภาพสะท้อนแสงไฟวิบวับราวกับมีชีวิต
ร่างสูงทรุดนั่งกับพื้นมันเลื่อมใต้แสงอุ่นเรื่อเรืองของตะเกียงเจ้าพายุ ตาปรือพยายามเบิกกว้าง เพ่งมองภาพวาดหญิงงามในมือ
...ไม่เลย เขาไม่ได้ตาฝาดพลาดเพี้ยน ดวงเนตรสีนิลของเจ้าหล่อนเปล่งประกายระยับล้อแสงไฟละม้ายแววตามนุษย์ มิหนำซ้ำริมฝีปากหยักโค้งยังยกยิ้มกริ่มประหนึ่งท้าทายอยู่ในที อาชากรมองอย่างทึ่งจัด ปู่วาดภาพนี้อย่างไรหนอถึงได้ดูมีชีวิตชีวานัก นิ้วหยาบไล้เกลี่ยแผ่วเบาบนผิวกระดาษเนียน คงเรียกได้ว่าหญิงผู้นี้งามเกลี้ยงเกลาหมดจด หากเรียวหน้าคมหวานนั้นปราศจากรอยเปื้อนจุดเล็กๆ
“หือ ไม่ใช่ฝุ่น” เขาหลุดอุทานเบาๆ เมื่อพบว่าจุดดำกระจิริดบนโหนกแก้มซ้ายของเธอมิใช่ฝุ่นผงดังคาด แต่เกิดจากน้ำหมึกที่จิตรกรจงใจแต่งแต้มต่างตำหนิเม็ดไฝ นี่ช่างผิดวิสัยจิตต์ประภัสผู้นิยมความงดงามสมบูรณ์แบบเสียจริง
“ศศินารา เนตรอภิรักษ์...” อาชากรพึมพำชื่อไพเราะที่เขียนกำกับอยู่ด้านข้างอย่างจะทำความรู้จักนางในภาพ ไม่ทันรู้ตัวเลยว่ายามขยับมือ ปากแผลที่ปลายนิ้วชี้ปริเปิด เลือดหยดเล็กซึมติดด้านหลังภาพวาดเป็นด่างดวง ทว่าชั่วพริบตาจุดสีแดงฉานนั้นพลันเหือดหายไปในเนื้อกระดาษสีขาวขุ่นจนสิ้น ไม่ทิ้งคราบรอยใดๆ ให้ผิดสังเกต
ตาหรี่ปรือกวาดผ่านคำบรรยายเจ้าหล่อนคร่าวๆ ...เจ้าอารมณ์ ทะเยอทะยาน ทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ต้องการ ชอบเรียกร้องความสนใจ... นิสัยใจคอประมาณนี้ เห็นทีคงไม่พ้นตำแหน่ง ‘นางอิจฉา’ ในนิยายเรื่องไหนสักเรื่องเป็นแน่ ผู้กำกับหนุ่มขยับยิ้มเนือยๆ ให้กับภาพสตรีที่ยิ่งพิศก็ยิ่งงามผุดผาด ใบหน้าคมหวานระเรื่อดั่งมีเลือดฝาดน่าอัศจรรย์ ชั่วขณะใจหนึ่งนึกเตลิดไปว่าถ้าหากศศินารามีตัวตนขึ้นมาได้จริงคงดี ชีวิตเขาคงง่ายกว่านี้มาก ร้ายก็แสดงออกมาให้เห็นเลยว่าร้าย ไม่ใช่แสร้งตีหน้าซื่อตาใสปกปิดความโหดร้ายเลือดเย็นเช่นใครบางคน ...ใครบางคนที่เขาพยายามลืมเลือน
ศศินารายังคงปรายตายิ้มยั่วไม่รู้ร้อนหนาวอยู่เพียงในแผ่นกระดาษสีขุ่น อาชากรหัวเราะเก้อ สำนึกว่าตนเองอุปาทาน คิดอะไรฟุ้งซ่านไร้สาระเกินไปแล้ว
“กู้ดไนท์ คนสวย” เขาเอ่ยแผ่วพร่า เก็บภาพวาดและบันทึกทั้งหมดกลับลงกล่อง ดับไฟตะเกียงแล้วทอดกายอ่อนล้าลงบนเตียงหลังใหญ่ ผ้าแพรเพลาะห่มแนบเนื้อช่วยให้คนขี้หนาวนอนอุ่นสบาย
ขณะเคลิ้มหลับ กลิ่นหวานละมุนลอยอวลหยอกล้อจมูก ...กลิ่นคล้ายน้ำหอมผู้หญิง ครั้นแล้วภาพดวงหน้าสวยซึ้งของ ‘ใครคนนั้น’ ก็ผุดขึ้นในความทรงจำ แม้เปลือกตาปิดสนิทแต่เขากลับเห็นเธอแจ่มชัด สติเลอะเลือนเลื่อนไหลย้อนกลับไปในห้วงวันวาน
‘อาดให้ดาได้ทุกอย่างจริงเหรอ’ เสียงหวานใสขับไล่ความเงียบงันน่าเบื่อหน่ายของค่ำคืนแสนเหน็บหนาวในห้องใต้หลังคาคับแคบ
‘อื้อ’ เขาตอบอู้อี้เพราะเกยคางไว้กับเรือนผมนุ่มลื่นหอมกรุ่น
‘แม้แต่เดือนกับดาว?’ เธอรวนกลับ แต่เขาฟังอย่างไรก็น่ารัก
‘อือ...’ มือใหญ่ลามไล้ไปตามท่อนแขนกลมกลึง ระเรื่อยไปจนถึงหลังมือเนียน แล้วสอดประสานเข้ากับนิ้วเรียวเล็กน่าทะนุถนอม กระชับแน่น ถ่ายเทไออุ่นซึ่งกันและกัน
‘ดูนี่...’ มือใหญ่เกาะกุมมือน้อยเอื้อมออกจากใต้ผ้าห่มหนา ยื่นนิ้วกางกั้นดวงจันทร์แสงสกาวที่ลอยเด่นอยู่กลางช่องกระจกหน้าต่างบานเล็ก เมื่อมองขึ้นไปจะเห็นจันทร์ทอประกายประดับนิ้วนางข้างซ้ายอย่างเหมาะเจาะ
‘แหวนของเรา’ เขาพูดคล้ายละเมอ
คนเนื้อนิ่มในอ้อมแขนว่าพ้อกลั้วหัวเราะคิก ‘พ่อคนช่างฝัน...’
หญิงสาวขยับหนีจากวงแขนใหญ่ที่ก่ายกอด ร่างเพรียวบางขาวผ่องพลิกขึ้นคร่อมเหนือเรือนกายกำยำ สัดส่วนโค้งเว้าเปล่าเปลือยนาบแนบไปกับแผ่นอกแกร่ง เธอจ้องมองเขาด้วยตาพราวและรอยยิ้มซุกซนชวนหลงใหล
‘กลับไปแล้ว เราแต่งงานกันนะ’ เขาเอ่ยจริงจัง ส่งสายตาเว้าวอนอ่อนหวาน
กลีบปากสีระเรื่อโน้มลงเย้าหยอกสันจมูกโด่งแทนคำตอบ แล้วค่อยลามเลื่อนเคลียเคล้าริมฝีปากหยัก ดูดดื่ม... อุ่นซ่าน... เนิ่นนานราวนิรันดร์
‘ดารักอาด…’ เสียงหวานขานกระซิบข้างหู ‘ดารักอาดนะ’
ปัง!!! ปัง!!! ปัง!!!
เสียงปืนแผดก้องทลายภาพวันชื่นคืนสุขพังภินท์ชั่วเสี้ยววินาที ร่างใหญ่กระตุกเฮือก ปวดร้าวช่วงอกอย่างสาหัส ลมหายใจสะดุดขาดหายเป็นห้วงๆ สติที่หลงเหลือริบหรี่นั้นดิ้นรนหาทางรอดสุดกำลัง
‘แค่ฝัน! แค่ฝันไป! ไม่ใช่เรื่องจริง!’ พยายามพร่ำเตือนตัวเองไม่ให้หลงเพริดไปกับภาพหลอน มือซ้ายปัดป่ายหาสร้อยข้อมือลูกประคำที่สวมอยู่ เครื่องรางของต่างหน้าบิดาชิ้นนี้ช่วยเขาให้หลุดพ้นจากฝันร้ายได้เสมอ
เมื่อขยับนิ้วแตะลูกกลมเลื่อมร้อยเป็นเส้นบนข้อมือขวาสำเร็จ ค่อยเคลื่อนนับเม็ดประคำไปตามลำดับ ความสงบนิ่งในใจพลันบังเกิด ไม่นานนักภาพเหตุการณ์เลวร้ายในอดีตและความเจ็บปวดปางตายก็เลือนหายไป ลมหายใจกลับมาสม่ำเสมอดังปกติ
อาชากรพ่ายแก่ความเหนื่อยอ่อนและฤทธิ์ยาแก้แพ้อากาศผล็อยหลับไปในที่สุด โดยไม่มีโอกาสรับรู้เลยว่าสิ่งมหัศจรรย์พันลึกอย่างที่สุดกำลังอุบัติขึ้นข้างกายเขานี่เอง
อากาศธาตุเปล่งแสงระยิบวิบวาบลอยคว้างเหนือฟูกนอน ละอองแสงเล็กราวเถ้าธุลีถักทอก่อตัวทีละเล็กทีละน้อย จนเริ่มเห็นเป็นรูปร่าง...เลือดเนื้อ...
.
.
แสงไฟหน้ารถเก๋งสีบรอนซ์เงินคันหรูดับลงทันทีที่จอดสนิท หญิงสาวร่างเพรียวบางสมส่วนในชุดราตรีสั้นเปิดไหล่สีกุหลาบขับผิวก้าวลงจากฝั่งคนขับ คืนเดือนหงายเช่นนี้มองอะไรก็ชัดตาไปหมด ทั้งบ่อน้ำพุอลังการด้านข้าง และสวนไม้ดัดหลากรูปทรงที่อยู่ถัดออกไป
“คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงอีกแล้วสินะ” ดาดาวพึมพำ แหงนมองที่มาของแสงลออด้วยรอยยิ้มบาง
“ดา! แกหายหัวไปไหนมา ฮะ! แล้วทำไมแกถึงปิดเครื่อง! จงใจหนีใช่มั้ย โอ๊ย! อกฉันจะแตกตาย!” เสียงเข้มที่ตวาดคาดคั้นมาจากทางมุกหน้าบ้านทำให้รอยยิ้มอ่อนเลื่อนหลุดจากใบหน้างาม
“ดามีธุระค่ะแม่” เธอตอบสั้นๆ สำรวมกิริยาและน้ำเสียง
“ธุระบ้าธุระบออะไรของแก! ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่านัดคุณอลงกรณ์มาทานข้าวเย็นที่บ้าน!” นภาสวนกลับฉุนเฉียว นึกอยากจะหยิกลูกสาวเสียให้เนื้อเขียวโทษฐานทำเสียเรื่อง แต่ก็ติดตรงที่ว่าทุกอณูเนื้อตัวดาดาวล้วนเป็นเงินเป็นทอง ขืนมีร่องรอยฟกช้ำดำด่างเห็นทีจะราคาตกมากไปกว่านี้
“ดาไปพบผู้ใหญ่มาค่ะ” ดาราสาวกลั้นใจตอบนิ่งขรึม ผู้ใหญ่ที่กล่าวนั้นหมายถึงเจ้าของสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ซึ่งเธอเพิ่งเซ็นสัญญาย้ายเข้าสังกัดได้ไม่นาน
มารดาขมวดคิ้ว “ไปพบคุณอาทิตย์... อย่าบอกนะว่าแกยังไม่เลิกคิดเรื่องนั้น! จนเขาส่งบทนางโกงมาฟาดหน้า แกยังไม่ตาสว่างอีกรึไงยะ! สมองน่ะมีมั้ย คิดอะไรอยู่ ของคายทิ้งไปแล้วนึกยังไงจะเอามาเคี้ยวใหม่!”
หญิงสาวลอบถอนหายใจ “ตอนนี้อะไรๆ ก็ไม่เหมือนเก่าแล้วนะคะ อีกอย่าง...ดาทำตามใจแม่มาตลอด ตอนนี้ดาขอตัดสินใจอะไรเองบ้าง ดาไปนอนก่อนนะคะ...เหนื่อยจัง” เอ่ยตัดบทแล้วเดินเลี่ยงเข้าบ้านทันที ไม่สนใจเสียงล้งเล้งที่ไล่ตามหลัง
ดาดาวก้าวฉับขึ้นบันได ตรงไปยังห้องส่วนตัว เมื่อปิดประตูบานใหญ่และกดล็อกลงกลอนแน่นหนาแล้วจึงค่อยรู้สึกหายใจโล่ง ดวงตาที่บรรจงตกแต่งอย่างสวยงามปรายไปทางโต๊ะมุมห้อง ริมฝีปากบางเคลือบสีชมพูวาวยกยิ้มเย็น
บท ‘ตารกา’ แห่ง ‘เถ้าปรารถนา’ ถูกหย่อนลงถังขยะอย่างไม่ใยดี
...ก็จะต้องสนใจมันอีกทำไม ในเมื่อเธอกำลังจะได้ครอบครอง ‘บทอื่น’ ที่คู่ควรในอีกไม่ช้า...
.
.
.
(บุพเพเนรมิต : บ้านอักษร ๐๓/จบ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้