เรียน จบ ป.ตรี ปุ๊บทำงานเลย โดยไม่มีเป้าหมายในชีวิต จนได้ทำงานกับบริษัทแห่งนี้ทำให้ค้นพบคำตอบ

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆชาว pantip ทุกท่าน ขออนุญาติสงวนชื่อและตำแหน่งงานนะคะ ดิฉันเรียนจบป.ตรี มหาวิทยาลัยของรัฐบาล พอเรียนจบก็ได้เข้าทำงานร่วมกับบริษัทในเครือบริษัทใหญ่เลย ดิฉันไม่ได้หยุดพักพอเรียนจบก้ทำงานเลยต่อเนื่อง ซึ่งในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากมายคิดแค่ว่าจะทำงานจะได้มีเงินใช้มาช่วยเหลือครอบครัว ทั้งๆที่ตัวเองยังไม่มีเป้าหมายในชีวิตว่าต้องการอะไร หรือที่เขาเรียกกันว่าประสบความสำเร็จในชีวิตนั่นล่ะคะ  จนกระทั่งใช้ชีวิตทำงานอยู่ ณ บริษัท แห่งนี้ เป็นบริษัทลูก เหมือนลูกเมียน้อยระบบอะไรก้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร สวัสดิการดูแลพนักงานระดับล่างก็แย่มาก มีแต่จะเอาเปรียบพนักงาน ส่วนตัวเป็นคนไม่คิดมากเพราะเราเงินเดือนไม่น้อยอาจจะไม่กระทบกับตัวเอง แต่พอได้รับรู้สภาพหน้างานการทำงานของพนักงานและสวัสดิการการได้รับการดูแลจากบริษัทรู้สึกรับไม่ได้ ดิฉันอาจจะไม่สามารถบอกรายละเอียดได้มากกว่านี้ด้วยเหตุผลในเรื่องความสบายใจ และงานที่ทำอยู่มีความสำคัญทางกฎหมายต่อบริษัท แต่โดยรวมแล้วบริษัทยังไม่เข้าใจและยังไม่เห็นคุณค่าของงานเท่าที่ควร เพราะถ้าไม่เห็นคุณค่าของชีวิตพนักงานความเป็นอยู่ของพวกเขา งานของดิฉันก็ไม่สามารถทำมันได้สำเร็จหรอกค่ะ เพราะถ้าเป็นเราคนเดียวที่ผลักดันงานทางนี้โดยทางผู้ใหญ่ไม่มองมาดูสิ่งที่เสนอไปใครจะช่วยได้

เมื่อเจอปัญหาแบบนี้มันทำใจยากที่จะทำงานให้สบายใจมีความภาคภูมิใจในการทำงาน หลายครั้งที่คิดลาออกแต่อย่างว่าเราต้องหาเงินช่วยเหลืออครอบครัวที่บ้าน เงินเก็บก็บยังไม่ค่อยมีมากเพราะเพิ่งเข้ามาทำงานไม่นาน เพื่อนร่วมงานก็แต่แต่พวกนินทาหลับหลังทุกคนล้วนถูกนินทาด้วยกันทั้งนั้น บางทีใส่ร้ายกันจนเกินเหตุก็มี เบื่อมากๆเลยค่ะ พยายามไม่สนใจแล้วแต่คนเราเมื่อมันเจอ มันได้ยินทุกวัน มันรำคาญเหมือนกันนะ

เศร้าจนบางทีกลัวตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าไม่รุ้จะเสี่ยงหรือเปล่านะ คิดมาก คิดเรื่องชีวิตการทำงานเรื่องเงินเรื่องความมั่นคง ความปลอดภัยในชีวิต คือทำงานเงินเดือนไม่น้อยแต่รายจ่ายมาก ค่าห้องเช่า ค่าเดินทาง ค่ากินค่าของใช้ ค่าประกัน หมดไปกับค่ากินอยุ่ เกิน 70% ยอมรับว่าตัวเองยังมีวินัยในการใช้เงินยังไม่ดีพอ อยากกินไรก้ซื้อๆๆๆมาอย่างเดียว บางทีก็ซื้อมาทำกินเองบ้าง แต่เรื่องช้อปปิ้งไม่ช้อปเท่าไหร่ ของเบรนเนมอะไรก้ไม่ใช่ไม่รุ้จักของใช้ก้ใช้ของตลาดนัดธรรมดา เที่ยวก้ไม่เที่ยวแต่เงินมีไม่พอใช้ จะทำอาชีพเสริมก้ไม่มีทุนทำสักทีจนเครียดมากๆ

มีเหตุการณ์นึงที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนความคิดบังเอิญหรืออะไรดลใจวันนั้นเป็นวันหยุดก็ไปซื้อของที่ 7-11 ไปเจอหนังสือ ๑๐๘ มงคลพระบรมราโชวาท ดิฉันเห็นหนังสือเล่มนี้แล้วไม่ได้เปิดอ่านตัวอย่างหนังสือเลยค่ะ หยิบมาดูราคา พอซื้อได้ก๋เอาไปจ่ายตังคืที่เค้าเตอร์เลย พอกลับมาที่หอพักจึงเปิดอ่าน เป็นคำสอนของในหลวงของเราส่วนใหญ่เป็นข้อคิดในการใช้ชีวิต ดิฉันไปสะดุดหัวข้อบรรยายคำว่า "พอเพียงคืออยู่ได้ด้วยตัวเองไม่เบียดเบียนใคร"

มีคำอธิบายว่า  "...คำว่าพอเพียง มีความหมายว่า พอกิน เศรษฐกิจแบบพอเพียง หมายความว่าผลิตอะไรมีพิใช้ ไม่ต้องขอยืมคนอื่น อยุ่ได้ด้วยตัวเอง แปลงจากภาษาฝรั่งได้ว่า ให้ยืนบนขาตัวเอง หมายความว่าสองขาของเรายืนอยุ่บนพื้นได้ไม่หกล้มไม่ต้องขอยืมขาคนอื่นเพื่อที่จะยืนอยู่  "คำว่า พอ คนเราถ้าพอในความต้องการ มันก้มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย พอเพียงอาจมีมาก อาจมีของหรูก็ได้ แต่ต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น..."

พออ่านจบบทความเหล่านี้วนเวียนก้องอยู่ในสมองมันวนเวียนในจิตใจดิฉันด้วยค่ะ เพราะบทความนี้จี้จุดจี้ใจดิฉันมาก ดิฉันทำงานมีเงินเดือนใช้ก็จริงแต่ก็ยังมีหนี้สินเพราะไปยิมคนคนอื่นใช้ด้วย แล้วใช้คืนยังไม่หมดยังลามมาจนถึงทุกวันเพระาเงินไม่พอใช้ เลยทำให้ดิฉันคิดต่อไปอีกว่าแล้วพอเพียงนี้ทำอย่างไรล่ะ ดิฉันจำได้ว่าเคยเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ตอน ม.3 เรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่ เศรษฐกินพอเพียง ที่ว่า 3ห่วง 2 เงื่อนไข แต่ไม่เคนสนใจว่ามันทำยังไงเอามาใช้กับชีวิตประจำวันจริงๆๆทำได้ยังไง จีงปิดหนังสือแล้วเปิด Google หวังว่าจะได้คำตอบ พิมคำว่า พอเพียง ลงไป มันก็ขึ้นมาเพียบเลยคำตอบ ดิฉันชอบ link แรกที่ขึ้นมามันชื่อว่า เกษตรพอเพียง | kasetporpeang.com เลย Click เข้าไปก็เว็บเพจธรรมดาๆแต่เนื้อหาในบล็อกของสมาชิกในเว็บนะสิคะ เป็นจุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยนความคิด เพราะได้อ่านเรื่องราวชีวิตของพวกเขาส่วนใหญ่เป้นการเล่าวิถีชีวิตการทำเกษตรตามคำสอนของ ในหลวงเรื่องเกษตรพอเพียง คือการมีอยู่มีกิน สร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับตัวเอง

เอาล่ะสิความมั่งคงทางหาร ดิฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาอีกว่า นั่นสิเรามาทำงานไกลบ้าน ขนดกล้วยน้ำว้ายังต้องซื้อมากินเลยแพงด้วย กล้วยหวีเดียว 25 บาท อาหารตามสั่งก็35 -45 บาท ก้วยเตี๋ยวก้ชาม 30 -45 บาท เราอยากกินอะไรต้องซื้ออย่างเดียวทุกอย่างจริงๆๆนะ ไม่ได้โกหก ซื้อทุกอย่างจริงๆ
และเหตุการณ์นึงมาสับสนุนความคิดนี้ ตอนนั้นรอขึ้นรถไปทำงานคิดไว้ว่าจะลงมาซื้อข้าวเช้าข้างล่างหอไปทานที่office แต่พอลงมาซื้อร้านข้าวปิดจ้า ทำไงที่หอไม่มีร้านค้าแล้ว รถจะมาแล้วด้วย อดกินข้าวจ้า นี่สินะที่เค้าเรียกว่าไม่มีความมั่นคงทางอาหารถึงแม้เราจะมีเงินซื้อถ้าไม่มีของให้เราซื้อเงินก็ไม่มีค่า อีกรณีนึงถึงจะมีของที่เราต้องการซื้อแต่จะการันตีได้ไหมว่า พืชผักนั้นสะอาดปลอดจากสารเคมี เรากลายเป็นคนคิดมากไปแล้ว ฉันจะบ้าไปแล้วหรือเปล่านะคิดเยอะไปมั้ง แต่คิดแบบนี้จริงๆ เลยไปศึกษาหลักการของเกษตรพอเพียงคาวนี้หลงไหลมากเลยค่ะ รู้สึกดีใจและเป็นบุญมากที่ประเทศไทยมีในหลวงที่ทรงรักประชาชนชาวไทยท่านสร้างอาชีพ ให้ความรู้ และให้ชีวิตใหม่แก่ประชาชนชาวไทยโดยเฉพาะเกษตรกรทั้งหลาย ท่านสอนเรื่องการบริหารที่ดินให้ใช้งานให้คุ้มค่า 100%  คือ 30:30:30:10 30% แรกใช้จัดการระบบน้ำบริโภคและสำหรับไว้ใช้การประมงและเกษตรกรรม  3%ที่2 ทำแปลงนาปลุกข้าวไว้บริโภคและจำหน่าย 30%ที่3ทำสวนผลไม้หลากหลายชนิด ไม้เศษฐกิจเป็นการออมเงินในอนาคตให้ลูกหลาน 10% สุดท้าย สำหรับที่อยู่อาศัยของเราและปลูกผักสวนครัวพืชสมุนไพรไว้ใช้รักษาตัวยามเจ็บไข้ได้ในเบื้องต้น นี่คือหัวใจหลักของเกษตร ทฤษฎีใหม่ มีมาตั้งนานแล้วในหลวงทรงดำรัชครั้งแรก ปี2517  แต่มีการพูดถึงอย่างชัดเจนในปี2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (วิกิพีเดีย)

จึงมองกลับมายังตัวเองที่บ้านครอบครัวทำอาชีพเกษตรกรแต่ยังทำแบบเคมีทั้งไป ไม่มีหลักการอะไร ปลุกพืชเชิงเดี่ยว นาข้าวก็ปลุกข้าวอย่างเดียว หมดหน้านา ก็นอนเล่นทำงานอย่างอื่นรับจ้างในหมู่บ้าน (จะว่าบ้านนอกก็ได้นะ อิอิแต่ชิวละ) หนี้สินก้เยอะ นะ กู้มาทำเกษตรแต่รายได้ไม่ดีเลย ยิ่งจำนำข้าวแล้วได้เงินช้า แม่โกรธมากที่ทำนาแล้วเอาข้าวไปเข้าโครงการจำนำข้าวแต่เงินยังไม่ได้ ท่านแม่ลั่นวาจา จะไม่ปลูกข้าวแล้วจะปลุกอ้อยให้หมดเลยได้เงินเอยะกว่า เลยอยากกลับไปทำเกษตรพอเพียงตามทฤษฎีใหม่ แต่ทางบ้านยังไม่อนุญาต เข้าใจว่าคงเป็นห่วงกลัวเราทำไม่ได้ และยังไม่เชื่อสิ่งที่เราเข้าใจและมีความตั้งใจจะทำ

จากชีวิตที่ไม่มีเป้าหมายตอนนี้มีเป้าหมายแล้วคือจะต้องทำเกษตรพอเพียง สร้างความมั่นคงทางอาหาร และปลอดสารเคมี เป็นของตัวเองก่อน อายุ30 ปี ตอนนี้อายุยังไม่ถึง 27 ปีเลย  อิอิ (ขอไม่บอกอายุนะคะ >_<)  และอยากจะลาออกจากบริษัทเต็มทีและยังออกไม่ได้แต่คาดว่าคงอีกไม่นาน ตอนนี้เร่ิมปลูกข้าวปลอดสารเคมี 1แปลง ปลายปีนี้ น่าจะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว จะบอกว่ามีลูกค้ามาขอซื้อพันธ์ข้าวแล้วด้วย ดีใจจัง (คนเดียวงเองฮ่าๆๆ) คิดว่าถ้าได้ลงมือทำเองให้เวลากับมันทั้งหมด จะทำได้เต็มที่กว่านี้ ตอนนี้ยังต้องยืมมือเท้า พ่อ แม่ทำให้ ก้ถือว่ายังไม่พอเพียง เพราะยังต้องยืมขาคนอื่นอยู่ถึงจะเป็นพ่อแม่ก็เถอะ ถือว่าเรายังเบียดเบียนท่านอยู่  

ต้องขอบคุณความแย่ในบางอย่างของบริษัทที่มี (แต่ก็ไม่ได้โทษบริษัทฝ่ายเดียว บริษัทมีบุญคุณที่มห้งานให้งานให้เงินเดือน) แต่ก็เป็นตัวหลักที่ทำให้ดิฉันค้นหาคำตแบของชีวิตได้ว่าควรตั้งเป้าหมายชีวิตไว้อย่างไร ต่อไปคงต้องต่อสู้และดิ้นรนเพื่อทำให้ความฝันเป็นจริง มีคำคัดค้านมาเยอะ หาว่าเราบ้า เรียนตั้งปริญญาตรี จะมาทำไร่ทำ ทำสวน แล้วจะเรียนทำไม ดิฉันไมไ่ด้มองแบบนั้น ความรู้การศึกษาทำให้เรามีความคิดต่อยอด ใช้ระบบการจัดการหลักความคิด คอนเนคชั่นที่มี พัฒนาอาชีพสร้างรายได้ ความมั่นคงของตัวเอง ความคิดของคนเราไม่มีของใครผิด...ทุกคนถูกหมด...เพราะเรามีความคิดเป็นของตัวเอง

ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ >_<
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่