ซาซากิ ทาโร่ - สวิส เตชภูวนนท์ รอยรักหักเหลี่ยมตะวัน







อึ้งกับความหล่อเหลาของพ่อหนุ่มซาซากิ ทาโร่ ผู้พิทักษ์แพรวดา ในรอยรักหักเหลี่ยมตะวันเสียจริง

คนอะไร ยิ้มที ใจแทบละลาย จุ๊บๆ


มาๆ เรามารู้จักกับหนุ่มคนนี้กันดีกว่า ว่าเป็นใคร?





Special Talk : น้องใหม่ สวิส เตชภูวนนท์ หนุ่มมาดเข้ม กับบทบู๊เรื่องแรก Rising Sun รอยรักหักเหลี่ยมตะวัน
        Thaitv3.com ขอแนะนำ น้องใหม่ สวิส เตชภูวนนท์ หนุ่มมาดเข้ม กับบทบู๊เรื่องแรก The rising sun  รอยรักหักเหลี่ยมตะวัน กับเรื่องราวหลากหลาย เพื่อให้แฟนละคร รู้จักหนุ่มสวิส คนนี้มากขึ้น


My Profile
      •    ชื่อ สวิส เตชภูวนนท์ (สวิส)
      •    อายุ 24 ปี
      •    การศึกษา  อนุบาล อยู่อนุบาลนิรมล  
      •    ประถม โรงเรียนสายอักษร
      •    มัธยมปลายเรียนที่ นวมินทร์
      •    อุมดมศึกษา เรียนต่อต่างประเทศ(อเมริกา)
      •    มีพี่น้อง 4 คน ผู้หญิ ง2 ชาย 2 สวิสเป็นคนที่ 3

นิสัยของหนุ่ม สวิส
      เป็นเด็กเงียบๆ ไม่ค่อยออกกรอบเท่าไหร่  เวลามีปัญหาอะไร ก็คุยกับแม่ก่อนครับ  
      เพราะพ่อดุครับ พ่อเป็นทหาร  ส่วนใหญ่ช่วง ม.ปลายจะชอบเที่ยวมาก เลิกเรียนก็ไปเที่ยวต่อ  
      บางทีก็โดดเรียนไปเที่ยว  บางทีนะครับบางที ไม่ใช่ทุกครั้ง (หัวเราะ)
       เวลามีปัญหาอะไร ก็คุยกับแม่ก่อนครับ แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยมีเรื่องอะไรเท่าไหร่

คิดอย่างไรกับการไปเรียนเมืองนอก
       ถ้าเราไปเรียนเมืองนอกก็น่าจะดีกว่า ก็เลยไปปรึกษากับที่บ้าน พอดีผมมีญาติอยู่ที่นั่นด้วย                  
       ตัดสินใจอยู่หลายวันเหมือนกัน ก็เลยบอก พ่อครับผมจะไปเรียนกฎหมายที่อเมริกา เพราะว่า      
       เรียนกฎหมายมันดู เราตั้งใจอะครับ(หัวเราะ) ก็ไปซื้อเอกสารมานั่งอ่าน พอไปสมัคร โรงเรียน    
       ก็ตอบรับมาเรียบร้อย ไปอยู่ที่นู้นก็ไปเปลี่ยนคณะครับ ประมาณ 3 วัน เค้าก็โอเค ก็บอก
       ว่าเดี๋ยวค่อยมาคุย ก็ไปเอารายละเอียดมา เขาก็ไปจัดการทำพวกเอกสาร วีซ่าให้ กว่าจะไป
       เรียนต่อเมืองนอก ก็ต้องหาโรงเรียนก่อนครับ แล้วดูที่คะแนน เช่น บางมหาวิทยาลัย จะดู
       ว่า Toefl  ได้เท่าไหร่ ถ้าเกิดเราสอบที่ไทย แล้วยัง ไม่ได้ เราก็สามารถไปเรียนที่นู้นก่อนได้    
       จนกว่าคะแนนจะถึง

รู้สึกเป็นไงบ้างกับซานฟรานซิสโก
       ครับ เหงามากเลยครับ มันหนาวมากครับ ส่วนใหญ่จะคุยกับที่บ้านอาทิตย์ละครั้ง โทร      
      กลับอยู่เรื่อยๆครับ โทรไปถามเป็นยังไงบ้าง ปกติผมกลับบ้านปีละครั้งครับ กลับมาอยู่
      เดือนนึงตอนปิดเทอม บางทีก็อยู่ได้แค่ 3 อาทิตย์  ซานฟรานเป็นเมืองแบบเนินเขา ก็เดิน
      ขึ้นเขาลงเขาทุกวัน โคตรเหนื่อยเลยกว่าจะปรับตัวได้ เกือบเดือนอะครับ แต่ระหว่างนั้นยิ่งอยู่
      ยิ่งชอบ มันได้ทำอะไรหลายอย่างที่อยู่ที่นี่แล้วทำไม่ได้ เช่นพวกกีฬา อะไรอย่างนี้ มันจะมีอย่าง
      ในซานฟราน มันจะไม่มีพวกสโนว์ มันจะไม่มีหิมะตก ต้องขับรถขึ้นไปLake Tahoe  
      มันจะเป็นบ้านมีหิมะครับ ต้องไปแบบฝึกเล่นสกี  สโนว์บอร์ด  ก็ใช้ชีวิตเหมือนเด็กที่นู้นอะ
     ครับ อยู่ที่นู้นก็มีแบบเป็นแก๊งเลย มันอิสระอะครับ ไปเที่ยวกลางคืนปาร์ตี้ โอ้โห ฮาโลวีนทีนี้
     แบบก็จะมีแต่งตัวกันประหลาดๆหน่อย แต่ผมอะจะมุ่งตรงแหล่งที่เที่ยวอย่างเดียวเลย ส่วนผม
     แต่ง เป็นแวมไพร์ ให้มันแบบดูดี  มันหนาว มันใส่แจ็คเก็ตได้

ประสบการณ์ชีวิตในเมืองนอก
      โหย เยอะมากเลยครับ หนึ่งเลยนะครับ ให้ภาษา ก็ผมไปเรียนภาษาเพิ่ม มีภาษาเกาหลี กับ
      ภาษาสเปนครับ แล้วก็ประสบการณ์ชีวิตได้รู้อะไรหลายๆอย่างจากข้างนอก ได้เรียนรู้คน
      หลายๆรูปแบบ แล้วก็การเข้าหาคนครับ มันเหมือนสอน แล้วก็ทำให้เราโตขึ้นด้วย เพราะต้อง
      รับผิดชอบตัวเองครับ

ผลงานก่อนเข้าวงการ
       ผมเคยถ่ายโฆษณาตอนอยู่ที่อเมริกาครับ โฆษณาHSBC แบรนด์ฮ่องกง เขามาติดต่อให้ไป
       อยู่ในเอเจนซี่เขาพอดีตอนนั้นไปเที่ยวอยู่แล้วเขาก็เจอเดินเอานามบัตรมาให้ พอตอนเช้าก็ไป
       แคส ตามที่เขาบอกที่อยู่

เงินก้อนแรกของเรา
        เงินก้อนแรกจากการถ่ายแบบก็ไปเที่ยวครับ (หัวเราะ) ผมซื้อกระเป๋าตังค์ Burberry ให้พ่อ
        แม่ ให้พี่น้องทุกคนเลยก็เมืองนอกมีถ่ายMagazine  อีกเล่มหนึ่งอ่ะครับ เสร็จแล้ว พอตอน
        กลับมาที่ไทย ทางฮ่องกงเขาเห็นว่า ผมไปถ่าย แล้วเขาก็ถามว่าตอนนี้เราอยู่อเมริกาหรือ ว่า
        อยู่ที่ไทย ผมบอกว่า กลับมาอยู่ที่ไทยแล้ว เอ้อแล้วสนใจจะไปทำงานอยู่ที่ฮ่องกงไหม ผมก็
        เลยบอกว่าโอเค ไปก็ได้ ก็ไปอยู่ฮ่องกงอยู่สามเดือนไปเป็น โมเดลไปถ่ายแบบ

ผลงานชิ้นแรกในฮ่องกง
       ถ่ายแบบแฟชั่น หนังสือ BEUF เป็นหนังสือของพวกแบรนด์ พวกแฟชั่นอะครับ เขาบอกว่า  
       ทางนู้น เหมือนกับจะมีหนังมาให้เล่น ผมบอก ผมพูดภาษาฮ่องกงไม่ได้ เพราะพูดแคนโทนิส
       พูดจีนกลางยังไม่ได้ ก็เลยไม่เอาดีกว่า ส่วนผู้จัดการเค้าก็เป็นคนจริงจังกับทุกอย่างการวางตัว
       แล้วก็ให้เราไปฝึกภาษาด้วยครับ

ก้าวแรกของวงการ
       ก็พอดีพี่ที่เป็นผู้จัดการผม เขาเป็นเพื่อนของพี่ชายผมที่อยู่ที่อเมริกา เค้าบอกว่า พี่ผู้จัดการผม    
      เป็นคนติดต่อให้รู้จักกับเจ้าของภาพยนตร์บันเทิง แล้วเขาก็เลยบอกว่า เออ เหมือนกับ เค้าก็  
      ส่งรูปผมไปให้พี่ แล้วพี่คนนี้ เหมือนกับพาผมเข้าไปสวัสดีพี่ สมรักษ์ ครับ แล้วพี่สมรักษ์  
      เค้าก็เนี้ย แบบเหมือนกำลังหาคนมา เล่นบทแบบนี้อยู่ อะไรอย่างเนี้ย ก็เลย คือคนนี้เขามีแม่ใช่  
      ไหมครับ แม่เขาไม่เคยเห็นหน้าผม เลยนะแต่อยู่ดีๆแม่เขาก็ บอกว่าเนี้ยมีแบบว่าน้องชาย
      เพื่อน เออ แล้วเขาก็บอกให้ลูกเขาเอา รูปผมให้พี่สมรักษ์ดู พี่สมรักษ์เลยเรียกให้มาแคส งง    
      มากเลย (หัวเราะ)

ความรู้สึกที่มีต่อช่อง 3
        พอเข้ามาถึงช่อง3 ก็ยังตื่นเต้นเหมือนเดิมครับ วันนั้นที่มาแคสบทนี้ คือตอนแรกมาแคสกับพี่
        ที่ช่องก่อน นานแล้วครับตอนนั้น เหมือนเพิ่งกลับมาจาก ฮ่องกงใหม่ๆ และก็ยังไม่
        รู้จักกับพี่ เพื่อนพี่ชาย และก็พอรู้จักกับพี่คนนี้ชื่อพี่ วสุ ครับ เค้าก็เลยเนี่ยครับ เรื่องก็เลยมาถึง
        ตรงนี้ ก็เลยเรียกผมมาแคสบทนี้อีกทีนึง มาแคสเนี่ย เวทีนี้เลยครับ ตอนนั้นมีช่างกล้องช่างไฟ
       มีอาจิ๋ม พี่จ๋า พี่เจ็ท คือตอนนั้นผมไม่รู้จักใครเลย สวัสดีไว้ก่อน แต่ผมก็แบบ เฮ้ยคนนี้หน้าคุ้นๆ
       ไปsearchในอินเตอร์เน็ต อ่อคนนี้นี่เอง อาจิ๋ม มยุรฉัตร ดีนะเนี่ยที่เราสวัสดีเค้า ไม่งั้นไม่รู้เลย
       ว่าเค้าเป็นใคร พี่จ๋า พี่เจ็ทนี่คือไม่รู้เลย ไม่รู้อะไรเลย ว่าใครมานั่งดูเราแคส(หัวเราะ)
       พอแคสเสร็จ พี่สมรักษ์ ก็เลยเรียก บอกว่า เนี่ยจะให้มาเซ็นสัญญากับที่ช่องเลย ไม่ได้จะ
       ให้มาเล่นแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว จะให้มาเซ็นเป็นเด็กช่องเลย ก็เลยมาเซ็นกับช่อง แล้วมาอยู่
       กับช่องเลยครับ

ความรู้สึกของเด็กใหม่
       ก็รู้สึกเป็นตัวประหลาด(หัวเราะ) แสดงเรื่องนี้ตอนนั้นก็ไม่รู้อะ ใครสั่งอะไรผมก็ทำตามหมด
       แหละไม่รู้ (หัวเราะ) พอได้ทำงานกับ ณเดช ญาญ่า และก็มาริโอ้ในละครเรื่อง The rising sun
       รอยรักหักเหลี่ยมตะวัน  ก็ดีครับ พอเริ่มทำงานด้วย ก็ให้ คำปรึกษาเรื่องงาน ก็นิสัยดีกันหมดทุก
       หมดคนเลย ณเดชจะเข้ามาคุย ก่อน จำไม่ได้ว่าคุยเรื่อง อะไรบ้าง (หัวเราะ)
ร่วมงานกับญาญ่าและแต้วในละครเรื่อง  รอยรักหักเหลี่ยมตะวัน เป็นไงบ้าง
      ญาญ่าก็คุยนะครับ แต่กับแต้วก็จะสนิทกว่า เพราะว่าต้องเข้าฉากด้วยกัน แต้วก็แบบ ตรงไหน
     ที่ไม่เข้าใจ แต้วก็จะอธิบาย เพราะว่าเรายังหาจุดไม่เจอ จุดของการแสดงของตัวเราเองไม่เจอ
     ครับ แต้วก็จะคอยบอก มาริโอ้ก็จะคอยบอกครับ  ก่อนหน้านั้นจะมีเรียนแอ็คติ้งที่ช่องด้วย
การเล่นละครครั้งแรก
      จำได้ว่าครั้งแรกพี่ปุ้ยที่เป็น พีอาร์  เมกเกอร์ เค้าเลือกบทละครับ เลือกซีนนึงมาให้ เป็นซีนที่
      แบบโอ้โห ยากอะ มันแบบ มันต้องพูดเหมือนกับเป็นภาษากวีเอามาจากเรื่องที่เล่นเลยครับ
      เราก็เล่นไม่ค่อยได้อะครับ(หัวเราะ) ก็ลอง relax ดู เป็นธรรมชาติ แล้วก็เล่นไปเรื่อยๆ มาถึง ก็
      แคสจบไป ตอนนั้นก็งง ว่าแคสแบบมีชุดมีอะไร แบบใส่ทุกคนก็มานั่งดู พอเรารู้แล้ว อ่อ
      อาจิ๋มคือคนนี้นะ เราก็ไปคุยกับเค้า เค้าก็ชวนคุย เค้าก็ถามอะไรนะจำไม่ได้และ อยู่วงการนี้    
      ต้องตั้งใจนะ พอแคสเสร็จเค้าก็บอกว่า เออให้ไปซื้อ นิยายเล่มนี้มาอ่านด้วย ครับ

ชอบแนวละครบู๊ไหม
    ชอบนะครับ มันเป็นบู๊แบบเป็นดราม่า อารมณ์ Feeling อะไรแบบนี้เต็มๆเลย บู๊ก็บู๊
    สุดๆเลย ผมว่าเรื่องนี้เป็นอะไรที่แบบ สุดกับสุด กับสุด เลยอะ แล้วผมก็ มาเจอเรื่องที่ สุดกับสุด
    กับสุดเลยอะ มันเหมือนกับ ปรับตัวเองเยอะมาก  สนุกดี เพราะในความเป็นจริงแล้วเราทำไม่ได้
    ไง มันเหมือนย้อนกลับไปตอนเด็กๆ ที่ไล่ถือดาบอะไรอย่างเนี่ย อันนี้มันทำได้

ฝากถึงครอบครัวช่อง 3 หน่อย
     มันรู้สึกว่าเหมือนเป็นครอบครัว คนแบบดูแล เหมือนกับ ดี อะ มันบอกไม่ถูกอะครับ มันเหมือน
     ครอบครัวใหญ่ๆ ครอบครัวนึง พี่ๆที่ช่องก็ใจดี คุณประวิทย์ก็ใจดี พี่สมรักษ์ก็ใจดี รู้สึกแบบอย่าง
     น้อยมันก็ยังมีที่ที่เราอยู่แล้วรู้สึกอบอุ่น มันใช่ซึ่งแบบว่าตอนแรกไม่อยากอยู่ เมืองไทย แต่ตอนนี้
     ที่นี่ก็น่าอยู่ เมืองไทยก็น่าอยู่เนอะ ก็ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ผมก็เล่น The rising sun  รอยรัก
     หักเหลี่ยมตะวัน ก็เล่นเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ก็จะทำให้ดีที่สุดครับ ก็ขอเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ  
     ขอบคุณครับ


ที่มา: Thaitv3.com



ig: s_wiis



















แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่