ตอนนี้ฝรั่ง พิสูจน์ดีเอ็นเอ มนุษย์ปัจจุบันแล้ว เขาบอกว่า
มนุษย์ ( Homo sapiens )?ถือกำเนิดบนโลก มากว่า 200,000 ปี แต่ มนุษย์ เกือบสูญพันธุ์เมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว เนื่องจากเกิด?ระเบิดของภูเขาไฟขนาดยักษ์ ( Super Volcano ) ชื่อ Toba ที่สุมาตราเหนือ อินโดนีเซีย?ทำให้เกิดฝุ่นปกคลุมทั่วโลก และเกิดยุคน้ำแข็งนานกว่า 7 ปี ทำให้มนุษย์ล้มตาย เหลือเพียงกลุ่มเล็กๆ เพียงประมาณ 2,000 คน ที่แอฟริกา ในภาพ ผลจากการระเบิดทำให้เกิด?ทะเลสาป Toba?ความยาว 100 ก.ม. กว้าง 30 ก.ม. ลึก 500 เมตร
หลังจากนั้น?มนุษย์คนแรกเดินทางออกจากแอฟริกา เมื่อ 70,000 ปี ที่แล้ว เขาได้ทิ้ง DNA ไว้ในร่างกายของพวกเราทุกคน โดยการตามรอย DNA ของผู้คนกว่า 500,000 คนทั่วโลก เราสามารถตามรอยบรรพบุรุษของเราได้ ทำให้เห็นว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ มีจุดกำเนิดมาจากที่เดียวกันคือ แอฟริกา โดยต่อมาได้แยกย้ายไปตามเส้นทางต่างๆ เพื่อตั้งรกรากในทุกส่วนของโลก(ขอแสดงความเห็นครับ การระเบิดทำให้เกิดยุคน้ำแข็ง น้ำลดลงอย่างมาก ทำให้คนเดินไปได้ถึงออสเตเลีย โดยไปถึงออสเตเลีย เมื่อ50000ปีที่แล้ว ก่อนไปถึงยุโรป 20000 ปี)
และ
การเปลี่ยนแปลงพันธ์ธุกรรม
ชาวยุโรปพึ่งกลายสภาพสีผิวจากสีดำมาเป็นสีขาวเมื่อประมาณ 5,500 ปีที่ผ่านมา เกิดจากเปลี่ยนจากล่าสัตว์มาทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูกแทน เนื่องจากอยู่ในร่มมากขึ้น ได้รับแสงน้อยลง ทำให้ผลิตวิตามินดีได้น้อยลงไปด้วย ผิวหนังของมนุษย์จึงได้วิวัฒนาการให้เป็นสีอ่อนเพื่อรับแสงได้มากขึ้น แม้แต่ในเวลากลางคืนการได้รับแสงอัลตร้าไวโอเล็ตก็สามารถนำไปผลิตวิตามินดีได้ (ในเวลากลางคืนมนุษย์ที่มีผิวสีอ่อนจะรับแสงอัลตร้าไวโอเล็ตได้ดีกว่าผิวสีคล้ำ) มนุนย์ต้องการวิตามินดีเพื่อรักษาภาวะสมดุลของระดับแคลเซียมในเลือดและในกระดูก(ส่วนตัว คิดว่าก่อนนั้นประมาณ 1500 ปี คาบเกี่ยวกับการพบยีนตาสีฟ้า แถวทะเลดำเมื่อ 8000 ปีก่อน)
เมื่อ 500 ปีที่แล้ว ก่อนเกิดการอพยพผู้คนต่างถิ่นทั่วโลกอย่างทุกวันนี้ มนุษย์ผิวสีจะอยู่ค่อนไปทางใต้ ใกล้เส้นศูนย์สูตร (equator) ส่วนสีผิวอ่อน จะอยู่ทางตอนเหนือของโลก ไกลจากเส้นศูนย์สูตร มีความความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจนระหว่างการกระจายสีผิวของมนุษย์กับความเข็มข้นของแสง ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีวิวัฒนาการ(คนทำไปทางเหนือมีแนวโน้มจะเป็นโรคกระดูกพรุน ส่วนคนขาวไปทางใต้จะเป็นมะเร็งผิวหนัง และขาดโพเลคทำให้เป็นหมัน เนื่องจากแสงแดดทำลายโพเลต)
นักการศาสนาทั้งสามศาสนาเชื่อเรื่องแบบนี้ไหม และถ้าจริง จะมีผลต่อศาสนาอย่างไร
ท่านเชื่อการพิสูจน์ดีเอ็นเอแค่ไหน
มนุษย์ ( Homo sapiens )?ถือกำเนิดบนโลก มากว่า 200,000 ปี แต่ มนุษย์ เกือบสูญพันธุ์เมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว เนื่องจากเกิด?ระเบิดของภูเขาไฟขนาดยักษ์ ( Super Volcano ) ชื่อ Toba ที่สุมาตราเหนือ อินโดนีเซีย?ทำให้เกิดฝุ่นปกคลุมทั่วโลก และเกิดยุคน้ำแข็งนานกว่า 7 ปี ทำให้มนุษย์ล้มตาย เหลือเพียงกลุ่มเล็กๆ เพียงประมาณ 2,000 คน ที่แอฟริกา ในภาพ ผลจากการระเบิดทำให้เกิด?ทะเลสาป Toba?ความยาว 100 ก.ม. กว้าง 30 ก.ม. ลึก 500 เมตร
หลังจากนั้น?มนุษย์คนแรกเดินทางออกจากแอฟริกา เมื่อ 70,000 ปี ที่แล้ว เขาได้ทิ้ง DNA ไว้ในร่างกายของพวกเราทุกคน โดยการตามรอย DNA ของผู้คนกว่า 500,000 คนทั่วโลก เราสามารถตามรอยบรรพบุรุษของเราได้ ทำให้เห็นว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ มีจุดกำเนิดมาจากที่เดียวกันคือ แอฟริกา โดยต่อมาได้แยกย้ายไปตามเส้นทางต่างๆ เพื่อตั้งรกรากในทุกส่วนของโลก(ขอแสดงความเห็นครับ การระเบิดทำให้เกิดยุคน้ำแข็ง น้ำลดลงอย่างมาก ทำให้คนเดินไปได้ถึงออสเตเลีย โดยไปถึงออสเตเลีย เมื่อ50000ปีที่แล้ว ก่อนไปถึงยุโรป 20000 ปี)
และ
การเปลี่ยนแปลงพันธ์ธุกรรม
ชาวยุโรปพึ่งกลายสภาพสีผิวจากสีดำมาเป็นสีขาวเมื่อประมาณ 5,500 ปีที่ผ่านมา เกิดจากเปลี่ยนจากล่าสัตว์มาทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูกแทน เนื่องจากอยู่ในร่มมากขึ้น ได้รับแสงน้อยลง ทำให้ผลิตวิตามินดีได้น้อยลงไปด้วย ผิวหนังของมนุษย์จึงได้วิวัฒนาการให้เป็นสีอ่อนเพื่อรับแสงได้มากขึ้น แม้แต่ในเวลากลางคืนการได้รับแสงอัลตร้าไวโอเล็ตก็สามารถนำไปผลิตวิตามินดีได้ (ในเวลากลางคืนมนุษย์ที่มีผิวสีอ่อนจะรับแสงอัลตร้าไวโอเล็ตได้ดีกว่าผิวสีคล้ำ) มนุนย์ต้องการวิตามินดีเพื่อรักษาภาวะสมดุลของระดับแคลเซียมในเลือดและในกระดูก(ส่วนตัว คิดว่าก่อนนั้นประมาณ 1500 ปี คาบเกี่ยวกับการพบยีนตาสีฟ้า แถวทะเลดำเมื่อ 8000 ปีก่อน)
เมื่อ 500 ปีที่แล้ว ก่อนเกิดการอพยพผู้คนต่างถิ่นทั่วโลกอย่างทุกวันนี้ มนุษย์ผิวสีจะอยู่ค่อนไปทางใต้ ใกล้เส้นศูนย์สูตร (equator) ส่วนสีผิวอ่อน จะอยู่ทางตอนเหนือของโลก ไกลจากเส้นศูนย์สูตร มีความความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจนระหว่างการกระจายสีผิวของมนุษย์กับความเข็มข้นของแสง ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีวิวัฒนาการ(คนทำไปทางเหนือมีแนวโน้มจะเป็นโรคกระดูกพรุน ส่วนคนขาวไปทางใต้จะเป็นมะเร็งผิวหนัง และขาดโพเลคทำให้เป็นหมัน เนื่องจากแสงแดดทำลายโพเลต)
นักการศาสนาทั้งสามศาสนาเชื่อเรื่องแบบนี้ไหม และถ้าจริง จะมีผลต่อศาสนาอย่างไร