ลิขิตขัตติยา บทที่ ๓
คืนนี้เดือนเด่น
แสงดาวจึงจืดจาง
บนพื้นล่างเสียอีกที่พราวระยับ
เพราะข่าวการพิธีบวงสรวง แพร่ไปก่อนแสงสุดท้ายของพระสุรีย์ศรีจะสาดส่อง
ราชินี... และ... ราชธิดาแห่งมาราลล์ จะขึ้นสู่มหาวิหาร
บวงสรวงปวงเทพยดา
นานนักแล้ว ที่ไม่เคยปรากฏ
สตรีทรงศักดิ์สูงสุดทั้งสองคน จะดำเนินสู่พิธีร่วมกัน
นับสิบปี
ที่จริง... ใครๆ ต่างก็จำได้
วันที่เจ้าหญิง องค์หญิงแห่งมาราลล์ กล่าวคำปฏิญาณต่อปวงเทพยดานั่นละ
วันที่แสดงว่าเจ้าหญิงรู้ความเพียงพอ ว่าจะรักษาจารีตเพื่อปวงเทวา
วันนั้น... คือ... วันสุดท้ายที่ชาวเมืองเคยได้เห็น
องค์หญิงเสด็จขึ้นสู่มหาวิหารพร้อมพระมารดา
วันนี้ทั้งพาราจึงคึกคักอย่างยิ่ง
ใครๆ ก็อยากยลพระรูปพระโฉม
องค์หญิงผู้พร้อมจะเข้าสู่การอภิเษกกับองค์ชายรัชทายาท ของนครใหญ่สุดในทวีปแถบนี้
จะงดงามสักเพียงไหน
จะเพียบพร้อมสักเพียงใด
โคมไฟจึงถูกจุดราวมีงานเฉลิมฉลอง เรียงสายไปตามรายทางเพื่อเฝ้ารอ
การเสด็จของราชธิดาพระองค์เดียวแห่งอาณาจักร
ขอให้ได้เห็นเป็นบุญตา...
เพราะอีกข่าวก็แพร่สะพัด
การเดินทางกำหนดแล้ว... อาจจะในเร็ววัน...
จึงจัดพิธีการบวงสรวง...
อาจเป็นพิธีสั่งเมือง ล่ำลา... อาจยากเย็นด้วยจารีต กว่าจะได้กลับคืนสู่นคร
พอชาวเมืองเห็นสัญญาณ แสงคบแสงไต้ราววิ่งมารุมเป็นแถวเดียว
นางในชุดขาว... ยาว... มีผ้าคลุมศีรษะสีขาวขลิบทอง สวมคลุมเลยอกลงมา
ขบวนนางนั้นยาวเป็นสองเท่า ยาวกว่าครั้งที่องค์ราชินีเสด็จแต่ผู้เดียว
ทุกนางต่างเชิญถาดเครื่องเซ่นสรวง ขนม นม เนย นานาสารพัด
ถัดมาจึงเป็นเสลี่ยงไม้หอม ชายรอบกรุผ้าโปร่งทอสอดดิ้นทอง
มีกัญญาคือหลังคาครอบ ตลอดรอบก็มีม่านทองกางกั้น
งดงาม... จับตา... จับใจ...ยิ่งนัก
เมื่อทั้งขบวนค่อยเคลื่อนผ่านแสงคบแสงไต้
สายทองนั้นวะวิบวับ ส่องประกายล้อแสงไฟได้เพลินตาอย่างที่สุด
เพราะแสงพราวระยับนั้นเอง...
จึงยากนักที่จะมีใครสังเกตเห็น...
นางพนักงานผู้มีหน้าที่หามเสลี่ยง ทั้งสามลำคานนั่น
แม้ทั้งหมดจะล่ำสัน รูปร่างในชุดคลุมจะแลสูงใหญ่กว่าสตรีทั่วไป
แต่ใครอีกคนนั้นยิ่งแปลก เพราะสูงกว่านัก... ทว่าไม่มีใครสนใจ
นางนั้นมิได้แห่หาม เพียงแต่เดินประกบตาม... เคียงข้าง... คุ้มครอง
เพราะแสงระยิบระยับทั้งนั้นพร่างพราว
ใครเล่าจะเมินมอง สตรีร่างใหญ่... ไร้ทรวดทรงองค์เอว
หากอยากจะมองก็โน่น... นางเชิญเครื่องแถวหน้าผ่านไปแล้ว
ยังมีนางในจิ้มลิ้มพริ้มเพรา นางรำบำบวงอีกขบวนยาวตามมาข้างหลัง
เสียเวลาจะชายตามอง ขบวนสตรีหาบหาม ร่างใหญ่หนา... ไม่น่ามองสักนิด
แต่คนในเสลี่ยงยังแอบเผยม่าน
น่ารำคาญนัก... จะไม่ให้คลาดสายตาเลยหรือว่าไร
เจ้าหญิงเอรียาร์แสนขัดใจ อีตาองครักษ์ร่างใหญ่ เดินขนาบอยู่ข้างๆ นี่เอง
ไม่วอกแวกวอแวอะไรอื่น
คงกลัวสะดุดกรวดหินก้อนเล็กก้อนน้อยนั่นกระมัง
ถึงได้แต่ก้มหน้ามองดิน...
หรือว่าจะต้องนับก้าว ว่าจากราชวังมาสู่มหาวิหาร กว้างยาวกี่ก้าวกันแน่
ก็ไหนว่าซาบาห์ยิ่งใหญ่นัก เจริญนัก
แล้วไย... ขนาดรัชทายาทแห่งซาบาห์
ยังใช้การวัดระยะทางใกล้ไกลด้วยการก้าวเดิน
บ้านนอก... ไร้อารยธรรม...
อดสะใจไม่ได้ ที่ได้นึกปรามาสเขาเช่นนั้น
ยิ่งเมื่อค่อนข้างแน่ใจว่านายคนปากดีนั่น คือ องค์ชายรัชทายาทแห่งซาบาห์
เจ้าหญิงก็ยิ่งอยากจะหัวร่อ
เหอะ... อย่าได้สะดุดขั้นบันไดหัวคะมำไปก่อนก็แล้วกัน
ที่คิดดังนั้นก็เพราะ... นครมาราลล์ขึ้นชื่อนักเรื่องบูชาเทพยดาได้ถึงขนาด
วิหารสูงตระหง่านใหญ่โต เป็นสิ่งก่อสร้างเดียวที่สูงส่ง ทัดเทียมกับราชวัง
แต่ละชั้นของเนินหิน ถูกก่อด้วยหินก้อนใหญ่ยักษ์
ยากนักที่คนไม่ชำนาญทางจะไม่ซวดเซ
“เชิญเพคะ”
เสียงนางพนักงานดังขึ้นเมื่อขบวนเสด็จหยุดลงได้อึดใจ
ตอนเสลี่ยงลดระดับจะโคลงเคลง
ยิ่งตอนก้าวลงจากด้านข้าง
อาจทำให้ราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์ เสียหลักจนเสียศรี
ปกติจึงจะมีแขนยื่นมาให้เกาะประคองพระองค์
พอเสลี่ยงเอียงวูบ เจ้าหญิงก็ยื่นมือคว้า
เกาะแขนที่รอรับ อาศัยทรงกายอย่างที่เคย
แต่คราวนี้ลำแขนกลับแข็งแรง... แกร่งกล้ามเนื้อ
ครั้นจะผลักออกหรือชักหัตถ์กลับ ก็สายเกิน...
เพราะถลำกายออกมาแล้ว
หากเสียหลัก นอกจากจะเสียศรี ตามคำของพระมารดาแล้ว
อาจยังจะกลายเป็นจุดสนใจ และพลอยทำให้เขาเดือดร้อน
ก็... นี่มันงานลับ...
ถึงจะเป็นงานลับที่เปิดเผยที่สุดก็เถอะนะ
เสียงหึหึในลำคอนั่นยิ่งน่าหมั่นไส้
เจ้าหญิงเอรียาร์เลย... กดเล็บจิกลงไปให้หายแค้น
ลำแขนที่รับปลายเล็บนั่น... เกร็ง... ฝืน... ...เล็กน้อย แล้วก็สงบนิ่ง
องค์หญิงยักคิ้วให้ตอนได้สบตากันวิบหนึ่ง
สะใจนัก...
“ครั้งที่สองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
แต่เสียงกระซิบกลับ กลับทำให้ยิ่งเดือด
“ไอ้คนเจ้าเล่ห์ เป็นเจ้าทั้งนั้นที่หลอกให้เราแตะต้อง”
องค์หญิงกระซิบตอบ เสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแทบจะดังกว่า
“ก็... ถ้าจะช่วยกระหม่อมจำ ก็ครั้งที่สองนี่แล้ว”
องครักษ์จากซาบาห์ ราวกับไม่ได้ยินประโยคที่ตอบโต้
ไม่ซื่อจนบื้อที่สุด ก็เป็นคนเจ้าเล่ห์ที่สุดนั่นละ
ถึงจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ท่าทาง... ด้านชา... ได้ถึงขนาดนี้
“อยากจำก็จำไปคนเดียวสิ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา”
“อะไรกันลูก นี่จะก้าวสู่เขตพระพิหารแล้ว สงบจิตสงบใจหน่อยเถอะนะ”
ราชินีชามีย์หันมาเตือนเบาๆ
แสดงว่าเสียงในประโยคหลังของพระราชธิดานี้ไม่เบาเลยจริงๆ
องค์หญิงจึงได้แต่ทำหน้างอ... ค้อนใส่
แต่นายนั่นมีหรือที่จะเห็น เพราะทำเป็นก้มหน้าก้มตาเดินนำไปโน่นแล้ว
ไอ้คนร้อยเล่ห์มารยา! คอยดูเถอะ...
จะเป็นเจ้าชาย จะเป็นรัชทายาทที่ไหนมาก็เถอะ
รู้จักเอรียาร์คนนี้น้อยเกินไปซะแล้ว
“ท่านพ่อว่าเตรียมคนเตรียมการณ์ไว้พรักพร้อม”
“เพคะ”
เจ้าหญิงได้แค่รับคำ ขณะค่อยก้าวเคียงกันขึ้นไป
ระหว่างขั้นก้อนหินใหญ่ มีท่อนศิลาเล็กๆ ทอดคั่นไว้ให้สะดวก
สำหรับให้ฝ่ายในเสด็จดำเนิน
และสงวนไว้เฉพาะผู้สูงศักดิ์เพียงเท่านั้น
“นายองครักษ์นี่ ที่จริงท่านพ่อก็ให้ลอบไปรอตรงหลังพิหาร แต่เขาไม่ยอม”
“นายคนนี้ดูเหมือนจะใหญ่โตเหลือเกินนะคะ”
“ท่านพ่อว่าเขาก็มีระดับ เป็นคนสำคัญที่ทางซาบาห์ส่งมารับลูกเหมือนกัน”
“แต่ลูกไม่ปรารถนา คนของลูกเองก็มี”
“ก็... ไปถึงแดนต่อแดน ถึงเขตแดนของซาบาห์ มีคนของเขาไปด้วย ย่อมสะดวกกว่ามากมายนัก... จริงไหมล่ะลูก”
“ท่านแม่คงเห็นดีเห็นงามกับเสด็จพ่อไปแล้ว”
“พ่อของลูกเป็นคนทำอะไรมีเหตุผลเสมอนะเอรีย์ โดยเฉพาะเรื่องนี้ แม่ซักไซ้มากมาย และเห็นด้วยว่าสมควร เรื่องนี้ถูกทบทวนไตร่ตรองมามากนัก มากจนลูกคาดไม่ถึงเชียวละ”
“เสด็จแม่จะผลักไสลูกคนนี้ คงรำคาญลูกมาก อยากให้ไปไกลหูไกลตา”
จบประโยคนี้ พระราชมารดา ราชินีชามีย์หันมาสบตากับลูกสาวคนเดียว
นัยน์ตาคลอ น้ำตาเอ่อล้อแสงคบตามรายทาง
นั่นแทนคำตอบ องค์หญิงเอรียาร์ ได้คำตอบที่ออกมาจากหัวใจ
หัวใจของผู้เป็นมารดา ผู้ที่รักและให้อภัยเธอเสมอ
“ท่านแม่ก็ไปกับลูกด้วยสิเพคะ”
ลูกสาวรีบเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นน้ำตาเอ่อคลออยู่เช่นนั้น
ตั้งแต่ก่อนออกมาแล้ว ที่คุยกันว่ามารดาจะคอยอยู่เคียงข้างท่านพ่อ
ไม่ว่าสถานการณ์ทางมาราลล์นี้จะเป็นอย่างไร
ราชินีชามีย์ ก็จะอยู่เคียงข้างกษัตริย์ราอาลล์เสมอไป
“แม่จะคอย... “
“ทำไมไม่ไปด้วยกันเล่าเพคะ”
“ก็บอกแล้ว เมื่อลูกไปทางนี้จะยิ่งคับขัน”
“ลูกถึงไม่อยากไป”
“ถ้าลูกไม่ไปอาจจะปะทุเร็วขึ้น... ใครจะรู้”
“ก็ไหนว่าท่านพ่อไตร่ตรองแล้ว ต้องรู้...”
พอบทจะไม่มีเหตุผล เจ้าหญิง... ราชธิดาพระองค์เดียว
ก็เอาแต่ใจได้ไม่แพ้ใครๆ
ก้าวขึ้นกันเรื่อยมา...จนถึงหน้าพิหาร...
เมื่อทอดตาลงเบื้องล่าง... จะเห็นแสงไฟเป็นสาย
ตอนใกล้เนินนี้จะคดเคี้ยวตามรายทาง ไกลออกไป... จึงค่อยเป็นระเบียบ
ตรงที่ไกลนั้นนั้นเป็นเขตนคร ถนนกว้างใหญ่ตัดตรงเป็นตาราง
บัดนี้มีแสงไฟอร่ามเรือง ขัดสานเป็นเส้นด้ายสีทอง
วาวแสงกระจ่างเป็นตาข่าย คล้ายมีข่ายทองห้อมล้อมพระราชวังหลวง
“ที่นี่ เมืองนี้ อาณาจักร โดยเฉพาะในราชวัง จะปลอดภัยที่สุด”
ราชินีชามีย์พยายามโน้มน้าว
“หากเกลือไม่เป็นหนอน หากไม่มีใครคิดคดทรยศ”
ราชธิดายังตั้งแง่
“ท่านพ่อว่าทุกคนล้วนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมทั้งนั้น”
“ใช่ค่ะ แต่จะสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเท่าไรนั้น เป็นคนละเรื่อง”
“เจ้าก็รู้ดีนี่ลูก”
“ท่านพ่อสอนลูกเสมอ”
“และท่านพ่อก็สอนเสมอไม่ใช่หรือ คนที่ต้องเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขของประชาราษฎรเป็นคนแรก ก็คือพวกเรา...
“...ครอบครัวเรา ที่ที่เราอยู่ ที่ที่เรานอน อาหารที่เรารับประทาน ก็ล้วนมาจากน้ำพักน้ำแรงของพวกเขา...
“...ธรรมดาของผู้ปกครอง เขาเลือกให้เราปกครองก็เพราะเราจะปกป้องดูแลเขาได้”
(มีต่อ)
ลิขิตขัตติยา บทที่ 3
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คืนนี้เดือนเด่น
แสงดาวจึงจืดจาง
บนพื้นล่างเสียอีกที่พราวระยับ
เพราะข่าวการพิธีบวงสรวง แพร่ไปก่อนแสงสุดท้ายของพระสุรีย์ศรีจะสาดส่อง
ราชินี... และ... ราชธิดาแห่งมาราลล์ จะขึ้นสู่มหาวิหาร
บวงสรวงปวงเทพยดา
นานนักแล้ว ที่ไม่เคยปรากฏ
สตรีทรงศักดิ์สูงสุดทั้งสองคน จะดำเนินสู่พิธีร่วมกัน
นับสิบปี
ที่จริง... ใครๆ ต่างก็จำได้
วันที่เจ้าหญิง องค์หญิงแห่งมาราลล์ กล่าวคำปฏิญาณต่อปวงเทพยดานั่นละ
วันที่แสดงว่าเจ้าหญิงรู้ความเพียงพอ ว่าจะรักษาจารีตเพื่อปวงเทวา
วันนั้น... คือ... วันสุดท้ายที่ชาวเมืองเคยได้เห็น
องค์หญิงเสด็จขึ้นสู่มหาวิหารพร้อมพระมารดา
วันนี้ทั้งพาราจึงคึกคักอย่างยิ่ง
ใครๆ ก็อยากยลพระรูปพระโฉม
องค์หญิงผู้พร้อมจะเข้าสู่การอภิเษกกับองค์ชายรัชทายาท ของนครใหญ่สุดในทวีปแถบนี้
จะงดงามสักเพียงไหน
จะเพียบพร้อมสักเพียงใด
โคมไฟจึงถูกจุดราวมีงานเฉลิมฉลอง เรียงสายไปตามรายทางเพื่อเฝ้ารอ
การเสด็จของราชธิดาพระองค์เดียวแห่งอาณาจักร
ขอให้ได้เห็นเป็นบุญตา...
เพราะอีกข่าวก็แพร่สะพัด
การเดินทางกำหนดแล้ว... อาจจะในเร็ววัน...
จึงจัดพิธีการบวงสรวง...
อาจเป็นพิธีสั่งเมือง ล่ำลา... อาจยากเย็นด้วยจารีต กว่าจะได้กลับคืนสู่นคร
พอชาวเมืองเห็นสัญญาณ แสงคบแสงไต้ราววิ่งมารุมเป็นแถวเดียว
นางในชุดขาว... ยาว... มีผ้าคลุมศีรษะสีขาวขลิบทอง สวมคลุมเลยอกลงมา
ขบวนนางนั้นยาวเป็นสองเท่า ยาวกว่าครั้งที่องค์ราชินีเสด็จแต่ผู้เดียว
ทุกนางต่างเชิญถาดเครื่องเซ่นสรวง ขนม นม เนย นานาสารพัด
ถัดมาจึงเป็นเสลี่ยงไม้หอม ชายรอบกรุผ้าโปร่งทอสอดดิ้นทอง
มีกัญญาคือหลังคาครอบ ตลอดรอบก็มีม่านทองกางกั้น
งดงาม... จับตา... จับใจ...ยิ่งนัก
เมื่อทั้งขบวนค่อยเคลื่อนผ่านแสงคบแสงไต้
สายทองนั้นวะวิบวับ ส่องประกายล้อแสงไฟได้เพลินตาอย่างที่สุด
เพราะแสงพราวระยับนั้นเอง...
จึงยากนักที่จะมีใครสังเกตเห็น...
นางพนักงานผู้มีหน้าที่หามเสลี่ยง ทั้งสามลำคานนั่น
แม้ทั้งหมดจะล่ำสัน รูปร่างในชุดคลุมจะแลสูงใหญ่กว่าสตรีทั่วไป
แต่ใครอีกคนนั้นยิ่งแปลก เพราะสูงกว่านัก... ทว่าไม่มีใครสนใจ
นางนั้นมิได้แห่หาม เพียงแต่เดินประกบตาม... เคียงข้าง... คุ้มครอง
เพราะแสงระยิบระยับทั้งนั้นพร่างพราว
ใครเล่าจะเมินมอง สตรีร่างใหญ่... ไร้ทรวดทรงองค์เอว
หากอยากจะมองก็โน่น... นางเชิญเครื่องแถวหน้าผ่านไปแล้ว
ยังมีนางในจิ้มลิ้มพริ้มเพรา นางรำบำบวงอีกขบวนยาวตามมาข้างหลัง
เสียเวลาจะชายตามอง ขบวนสตรีหาบหาม ร่างใหญ่หนา... ไม่น่ามองสักนิด
แต่คนในเสลี่ยงยังแอบเผยม่าน
น่ารำคาญนัก... จะไม่ให้คลาดสายตาเลยหรือว่าไร
เจ้าหญิงเอรียาร์แสนขัดใจ อีตาองครักษ์ร่างใหญ่ เดินขนาบอยู่ข้างๆ นี่เอง
ไม่วอกแวกวอแวอะไรอื่น
คงกลัวสะดุดกรวดหินก้อนเล็กก้อนน้อยนั่นกระมัง
ถึงได้แต่ก้มหน้ามองดิน...
หรือว่าจะต้องนับก้าว ว่าจากราชวังมาสู่มหาวิหาร กว้างยาวกี่ก้าวกันแน่
ก็ไหนว่าซาบาห์ยิ่งใหญ่นัก เจริญนัก
แล้วไย... ขนาดรัชทายาทแห่งซาบาห์
ยังใช้การวัดระยะทางใกล้ไกลด้วยการก้าวเดิน
บ้านนอก... ไร้อารยธรรม...
อดสะใจไม่ได้ ที่ได้นึกปรามาสเขาเช่นนั้น
ยิ่งเมื่อค่อนข้างแน่ใจว่านายคนปากดีนั่น คือ องค์ชายรัชทายาทแห่งซาบาห์
เจ้าหญิงก็ยิ่งอยากจะหัวร่อ
เหอะ... อย่าได้สะดุดขั้นบันไดหัวคะมำไปก่อนก็แล้วกัน
ที่คิดดังนั้นก็เพราะ... นครมาราลล์ขึ้นชื่อนักเรื่องบูชาเทพยดาได้ถึงขนาด
วิหารสูงตระหง่านใหญ่โต เป็นสิ่งก่อสร้างเดียวที่สูงส่ง ทัดเทียมกับราชวัง
แต่ละชั้นของเนินหิน ถูกก่อด้วยหินก้อนใหญ่ยักษ์
ยากนักที่คนไม่ชำนาญทางจะไม่ซวดเซ
“เชิญเพคะ”
เสียงนางพนักงานดังขึ้นเมื่อขบวนเสด็จหยุดลงได้อึดใจ
ตอนเสลี่ยงลดระดับจะโคลงเคลง
ยิ่งตอนก้าวลงจากด้านข้าง
อาจทำให้ราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์ เสียหลักจนเสียศรี
ปกติจึงจะมีแขนยื่นมาให้เกาะประคองพระองค์
พอเสลี่ยงเอียงวูบ เจ้าหญิงก็ยื่นมือคว้า
เกาะแขนที่รอรับ อาศัยทรงกายอย่างที่เคย
แต่คราวนี้ลำแขนกลับแข็งแรง... แกร่งกล้ามเนื้อ
ครั้นจะผลักออกหรือชักหัตถ์กลับ ก็สายเกิน...
เพราะถลำกายออกมาแล้ว
หากเสียหลัก นอกจากจะเสียศรี ตามคำของพระมารดาแล้ว
อาจยังจะกลายเป็นจุดสนใจ และพลอยทำให้เขาเดือดร้อน
ก็... นี่มันงานลับ...
ถึงจะเป็นงานลับที่เปิดเผยที่สุดก็เถอะนะ
เสียงหึหึในลำคอนั่นยิ่งน่าหมั่นไส้
เจ้าหญิงเอรียาร์เลย... กดเล็บจิกลงไปให้หายแค้น
ลำแขนที่รับปลายเล็บนั่น... เกร็ง... ฝืน... ...เล็กน้อย แล้วก็สงบนิ่ง
องค์หญิงยักคิ้วให้ตอนได้สบตากันวิบหนึ่ง
สะใจนัก...
“ครั้งที่สองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
แต่เสียงกระซิบกลับ กลับทำให้ยิ่งเดือด
“ไอ้คนเจ้าเล่ห์ เป็นเจ้าทั้งนั้นที่หลอกให้เราแตะต้อง”
องค์หญิงกระซิบตอบ เสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแทบจะดังกว่า
“ก็... ถ้าจะช่วยกระหม่อมจำ ก็ครั้งที่สองนี่แล้ว”
องครักษ์จากซาบาห์ ราวกับไม่ได้ยินประโยคที่ตอบโต้
ไม่ซื่อจนบื้อที่สุด ก็เป็นคนเจ้าเล่ห์ที่สุดนั่นละ
ถึงจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ท่าทาง... ด้านชา... ได้ถึงขนาดนี้
“อยากจำก็จำไปคนเดียวสิ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา”
“อะไรกันลูก นี่จะก้าวสู่เขตพระพิหารแล้ว สงบจิตสงบใจหน่อยเถอะนะ”
ราชินีชามีย์หันมาเตือนเบาๆ
แสดงว่าเสียงในประโยคหลังของพระราชธิดานี้ไม่เบาเลยจริงๆ
องค์หญิงจึงได้แต่ทำหน้างอ... ค้อนใส่
แต่นายนั่นมีหรือที่จะเห็น เพราะทำเป็นก้มหน้าก้มตาเดินนำไปโน่นแล้ว
ไอ้คนร้อยเล่ห์มารยา! คอยดูเถอะ...
จะเป็นเจ้าชาย จะเป็นรัชทายาทที่ไหนมาก็เถอะ
รู้จักเอรียาร์คนนี้น้อยเกินไปซะแล้ว
“ท่านพ่อว่าเตรียมคนเตรียมการณ์ไว้พรักพร้อม”
“เพคะ”
เจ้าหญิงได้แค่รับคำ ขณะค่อยก้าวเคียงกันขึ้นไป
ระหว่างขั้นก้อนหินใหญ่ มีท่อนศิลาเล็กๆ ทอดคั่นไว้ให้สะดวก
สำหรับให้ฝ่ายในเสด็จดำเนิน
และสงวนไว้เฉพาะผู้สูงศักดิ์เพียงเท่านั้น
“นายองครักษ์นี่ ที่จริงท่านพ่อก็ให้ลอบไปรอตรงหลังพิหาร แต่เขาไม่ยอม”
“นายคนนี้ดูเหมือนจะใหญ่โตเหลือเกินนะคะ”
“ท่านพ่อว่าเขาก็มีระดับ เป็นคนสำคัญที่ทางซาบาห์ส่งมารับลูกเหมือนกัน”
“แต่ลูกไม่ปรารถนา คนของลูกเองก็มี”
“ก็... ไปถึงแดนต่อแดน ถึงเขตแดนของซาบาห์ มีคนของเขาไปด้วย ย่อมสะดวกกว่ามากมายนัก... จริงไหมล่ะลูก”
“ท่านแม่คงเห็นดีเห็นงามกับเสด็จพ่อไปแล้ว”
“พ่อของลูกเป็นคนทำอะไรมีเหตุผลเสมอนะเอรีย์ โดยเฉพาะเรื่องนี้ แม่ซักไซ้มากมาย และเห็นด้วยว่าสมควร เรื่องนี้ถูกทบทวนไตร่ตรองมามากนัก มากจนลูกคาดไม่ถึงเชียวละ”
“เสด็จแม่จะผลักไสลูกคนนี้ คงรำคาญลูกมาก อยากให้ไปไกลหูไกลตา”
จบประโยคนี้ พระราชมารดา ราชินีชามีย์หันมาสบตากับลูกสาวคนเดียว
นัยน์ตาคลอ น้ำตาเอ่อล้อแสงคบตามรายทาง
นั่นแทนคำตอบ องค์หญิงเอรียาร์ ได้คำตอบที่ออกมาจากหัวใจ
หัวใจของผู้เป็นมารดา ผู้ที่รักและให้อภัยเธอเสมอ
“ท่านแม่ก็ไปกับลูกด้วยสิเพคะ”
ลูกสาวรีบเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นน้ำตาเอ่อคลออยู่เช่นนั้น
ตั้งแต่ก่อนออกมาแล้ว ที่คุยกันว่ามารดาจะคอยอยู่เคียงข้างท่านพ่อ
ไม่ว่าสถานการณ์ทางมาราลล์นี้จะเป็นอย่างไร
ราชินีชามีย์ ก็จะอยู่เคียงข้างกษัตริย์ราอาลล์เสมอไป
“แม่จะคอย... “
“ทำไมไม่ไปด้วยกันเล่าเพคะ”
“ก็บอกแล้ว เมื่อลูกไปทางนี้จะยิ่งคับขัน”
“ลูกถึงไม่อยากไป”
“ถ้าลูกไม่ไปอาจจะปะทุเร็วขึ้น... ใครจะรู้”
“ก็ไหนว่าท่านพ่อไตร่ตรองแล้ว ต้องรู้...”
พอบทจะไม่มีเหตุผล เจ้าหญิง... ราชธิดาพระองค์เดียว
ก็เอาแต่ใจได้ไม่แพ้ใครๆ
ก้าวขึ้นกันเรื่อยมา...จนถึงหน้าพิหาร...
เมื่อทอดตาลงเบื้องล่าง... จะเห็นแสงไฟเป็นสาย
ตอนใกล้เนินนี้จะคดเคี้ยวตามรายทาง ไกลออกไป... จึงค่อยเป็นระเบียบ
ตรงที่ไกลนั้นนั้นเป็นเขตนคร ถนนกว้างใหญ่ตัดตรงเป็นตาราง
บัดนี้มีแสงไฟอร่ามเรือง ขัดสานเป็นเส้นด้ายสีทอง
วาวแสงกระจ่างเป็นตาข่าย คล้ายมีข่ายทองห้อมล้อมพระราชวังหลวง
“ที่นี่ เมืองนี้ อาณาจักร โดยเฉพาะในราชวัง จะปลอดภัยที่สุด”
ราชินีชามีย์พยายามโน้มน้าว
“หากเกลือไม่เป็นหนอน หากไม่มีใครคิดคดทรยศ”
ราชธิดายังตั้งแง่
“ท่านพ่อว่าทุกคนล้วนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมทั้งนั้น”
“ใช่ค่ะ แต่จะสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเท่าไรนั้น เป็นคนละเรื่อง”
“เจ้าก็รู้ดีนี่ลูก”
“ท่านพ่อสอนลูกเสมอ”
“และท่านพ่อก็สอนเสมอไม่ใช่หรือ คนที่ต้องเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขของประชาราษฎรเป็นคนแรก ก็คือพวกเรา...
“...ครอบครัวเรา ที่ที่เราอยู่ ที่ที่เรานอน อาหารที่เรารับประทาน ก็ล้วนมาจากน้ำพักน้ำแรงของพวกเขา...
“...ธรรมดาของผู้ปกครอง เขาเลือกให้เราปกครองก็เพราะเราจะปกป้องดูแลเขาได้”
(มีต่อ)