ชีวิตต่างถิ่น ณ ดินแดนสิงคโปร์ : Make the Impossible Possible จุดเริ่มต้นของโอกาสในการไปทำงานต่างประเทศ

หนึ่งในความฝันของฉัน คือการได้ไปเรียนต่างประเทศ ได้ขี่จักรยานไปในถนนที่มีใบไม้สีแดงโปรยปราย ปีนเขาชะโงกดูน้ำตก หมกตัวพิงไฟอยู่ในห้องท่ามกลางพายุหิมะโหมกระหน่ำอยู่ภายนอก และแล้ว ฝันของฉันก็เป็นจริง อาจจะไม่ได้จริงทั้งหมด เพราะฉันไปทำงานไม่ได้ไปเรียน แถมประเทศที่ฉันไป ก็ไม่ได้มีใบไม้เปลี่ยนสี ภูเขา น้ำตก หิมะ หรืออะไรทั้งสิ้น เพราะประเทศที่ฉันกำลังจะ export ตัวเองไปในไม่กี่วันนี้ มีชื่อว่า สิงคโปร์

สิงคโปร์ เป็นเกาะเล็กๆ ใหญ่กว่ากรุงเทพเล็กน้อย อยู่ทางใต้ของประเทศไทย อากาศร้อนสลับกับมีฝนตกทั้งปี ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันเกลียดมาก แต่ถึงหลายๆอย่างจะไม่เป็นดังฝัน แต่ฉันดีใจมากที่ได้โอกาสนี้มา หลายคนอาจคิดว่า เพราะฉันทำงานในบริษัทข้ามชาติ มีสาขาในหลายๆประเทศ การที่จะได้ไปทำงานต่างประเทศ ยิ่งเป็นประเทศที่อยู่ใกล้ขนาดนี้ คงไม่ยากเย็นอะไรนัก

ฉันเป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนี้ตอนแรกๆที่ได้เข้ามาทำงานที่นี่ เพราะตอนที่สัมภาษณ์งาน พี่ที่สัมภาษณ์ฉันบอกว่าโอกาสที่จะได้ทำงานต่างประเทศมีสูงมาก (สารภาพว่าพอได้ยินคำนี้แล้วไม่สนใจรอผลที่อื่นแล้ว เงินดงเงินเดือนก็ไม่ดู เซ็นสัญญาทันที) ยิ่งพอเข้ามา ได้รู้ว่ามีโครงการที่ชื่อว่า secondment เป็นโครงการที่ส่งพนักงานไปทำงานต่างประเทศเสมือนเป็นพนักงานของประเทศนั้นๆ เพื่อเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ฉันยิ่งมั่นใจว่า ยังไงฉันก็ต้องได้ไปทำงานต่างประเทศ

แต่พออยู่ไปถึงรู้ว่า มันไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งลักษณะงาน consult จะเป็นงานที่ไม่ routine ต้องทำอะไรที่ไม่เคยทำตลอดเวลา ทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน ต้องดี ต้องออกไปเจอลูกค้า present งาน สัมภาษณ์ ทำ workshop ต้องทำหลายโปรเจคในคราวเดียวกัน ขนาดใช้ภาษาไทยยังรู้สึกยากจนท้อ จินตนาการได้เลยว่าถ้าทำแบบนี้เป็นภาษาอังกฤษคงกระอักเลือดแน่ๆ ดังนั้นส่วนใหญ่คนที่บริษัทส่งไป secondment จะเป็นระดับ Assistant Manager (ผู้ช่วยผู้จัดการ) ขึ้นไป ต้องมั่นใจจริงๆว่าทำงานได้ ไม่ fail กลับมา

สิ่งที่ฉันเชื่อมาตลอดชีวิตคือ ไม่มีทางที่อยู่ดีๆโอกาสจะลอยมาหา เราต้องกล้าคว้ามันมาด้วยมือของเราเอง  ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 2 ของการทำงาน ฉันจึงเดินไปเคาะประตูห้องคุยกับ Partner ทันที (ในบริษัท consult จะมีตำแหน่งที่เรียกว่า Partner แปลง่ายๆคือหุ้นส่วนบริษัท ถ้าในบริษัทธรรมดาคือระดับ C-Suite มีอำนาจตัดสินใจเกือบทุกเรื่องส่วนที่ตัวเองบริหารและถือหุ้นอยู่) จุดเริ่มต้นของโอกาสในครั้งนี้ คือบทสนทนาสั้นๆ ไม่กี่คำ ระหว่างฉันและ Partner

ฉัน : พี่คะ หนูอยากไป secondment ที่นิวยอร์ก
Partner : (สวนกลับมาทันทีด้วยเสียงเรียบ) พี่จะมั่นใจได้ยังไงว่าเธอทำได้

- จบบทสนทนาแต่เพียงเท่านี้ -

บทเรียนที่ 1 เวลาเจอประโยคประเภทนี้จากหัวหน้า ขออย่าไปมองโลกในแง่ร้ายว่า เขากำลังดูถูก ปฏิเสธเรา และยอมแพ้ไป ความหมายมันขึ้นกับการแปลของเราเอง อย่างในกรณีนี้ "พี่จะมั่นใจได้ยังไงว่าเธอทำได้" ฉันแปลได้ว่า "พิสูจน์ให้พี่ดูสิว่าเธอทำได้"

เสาร์อาทิตย์นั้น ฉันนั่งร่างแผนการพัฒนาตัวเองซึ่งมีระยะเวลา 1 ปี ประกอบด้วยทักษะทางการใช้ภาษาอังกฤษ ฟัง พูด อ่าน เขียน เพื่อจะพิสูจน์ว่า ฉันสามารถสื่อสารในสภาวะแวดล้อมที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักได้จริงๆ จากนั้นฉันก็นัดคุยกับ Partner เพื่อเสนอแผนของตัวเอง

พี่ Partner กวาดสายตาดูแผนของฉันด้วยความเร็วสูง แล้วบอกว่าแผนนั้นใช้ไม่ได้ เพราะมันไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้เลย เช่น ในกรณีที่เป็น Writing Skills ฉันบอกว่าจะฝึกเขียน 1 ชั่วโมงต่อวัน แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่าฉันเขียนได้ดีแล้ว

บทเรียนที่ 2 เวลาเสนอแผนงานอะไรซักอย่าง ต้องใช้สิ่งที่วัดผลได้ เพราะจริงๆแล้วอีกฝ่ายเขาไม่สนใจว่าเราฝึกซ้อมอย่างไร ใช้วิธีแบบไหน สิ่งที่เขาสนใจจริงๆ คือ result ที่ได้มากกว่า เช่น ในกรณี Writing Skills ฉันบอกว่าฉันจะสามารถเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษได้ 1 บทความ กรณี Speaking Skills ฉันบอกว่าฉันจะสามารถพรีเซนต์งานเป็นภาษาอังกฤษได้

บทเรียนที่ 3 ถึงโอกาสไม่มี เราก็ต้องสร้างมันด้วยตัวเอง พูดกันตรงๆว่า ฉันเป็นเด็กจบใหม่ ไม่ได้มีชื่อเสียง จะเอาปัญญาที่ไหนไปเขียนบทความภาษาอังกฤษลงหนังสือพิมพ์ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คอนเซ็ปต์ของ Big Data กำลังบูม ฉันเลยเล็งเห็นโอกาส เดินไปคุยกับพี่ Partner ว่าอยากเขียนบทความเรื่องนี้ลงหนังสือพิมพ์ พี่เขาเลยเสนอตัวเป็น co-writer ฉันเขียนแล้วพี่เป็นคน review พร้อมทั้งติดต่อกับหนังสือพิมพ์ให้เสร็จสรรพ ส่วนฉัน ใช้เวลา 2 อาทิตย์นั่งอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับ Big Data ที่สามารถหาได้ทั้งหมด แล้วเขียนเป็นบทความขึ้นมา

แน่นอนว่าถูกพี่เขาแก้ไม่มีชิ้นดี แก้แล้วแก้อีก แก้จนมึน แต่บาง paragraph ก็มีภาษาของฉันอยู่ แล้วมันก็ได้ลงเป็นบทความจริงๆใน Bangkok Post ทั้งภูมิใจและทำเป้าหมายได้สำเร็จไป 1 ข้อ

บทเรียนที่ 4 เนื่องจาก Partner เป็นตำแหน่งที่ยุ่งมากๆ จนเวลาที่จะว่างคุยกับเราแทบไม่มี วิธีแก้ปัญหานี้ง่ายมาก คือนัดกินข้าวหรือกินกาแฟ แล้วคุยไปด้วย กรณีฉัน จะปริ๊นท์แผนฉบับย่อไป หรือจดโน้ตสั้นๆไปกันลืมระหว่างคุย ที่สำคัญมากๆคือ การที่เราจะไปพูดคุยกับหัวหน้า เราจะต้องเรียบเรียงความคิดไปดีๆก่อน จะมาพูดวกไปวนมาไม่ได้ (ฉันเคยถูกไล่ให้กลับไปคิดใหม่มาแล้ว) พูดให้สั้น กระชับ ได้ใจความ และตรงประเด็น (เคยถูกถามระหว่างพูดอยู่เลยว่า "ประเด็นน้องอยู่ที่ไหนคะ")

หนึ่งปีผ่านไป ฉันทำสำเร็จทุกข้อตามแผนงานที่วางไว้ แต่ฉันก็ยังไม่ได้ไป เพราะยังติดที่ไม่มีประสบการณ์จริงกับลูกค้าโดยตรง ช่วงนั้นมีหลายๆเสียงบอกว่าโอกาสที่จะได้ไปต่างประเทศของเด็กที่เริ่มทำงานไม่กี่ปีมีน้อยมาก ขนาดพี่ๆระดับสูงที่ได้ไปคือต้องเก่งผสมเฮงด้วย

บทเรียนที่ 5 คืออย่าไปท้อกับเสียงคนรอบข้าง เชื่อเถอะว่าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ก็เพราะเราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ make the impossible possible จงมุ่งมั่นและเชื่อว่าเราทำได้ พิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าเราทำได้ ฉันเสนอแผนใหม่กับพี่ Partner เพื่อพัฒนาตรงจุดที่ยังขาดอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประสบการณ์กับลูกค้าโดยตรง ปกติแล้วการทำงานมักจะทำเป็นโปรเจค โดยมี Project Manager เป็นคนดูแลในแต่ละโปรเจค สิ่งที่ฉันทำคือ เดินเข้าไปขอโอกาสในการพรีเซนต์งานจริง โอกาสการเขียนรายงานเอง โอกาสในการ lead การสัมภาษณ์และ workshop กับพี่ๆ Project Manager ซึ่งฉันก็โชคดีมากๆที่พี่ๆ Project Manager ให้โอกาสนั้นแก่ฉัน แต่สิ่งที่สำคัญคือการเตรียมตัวที่ดีและการประเมินตัวเองอย่างไม่ลำเอียงว่าเราจะทำได้จริงหรือไม่ เพราะถ้าเราไม่พร้อมจริงๆก็จะทำให้งานพังไปด้วย เดือดร้อนคนอื่นอีก

บทเรียนที่ 6 อันนี้เป็นบทเรียนแทรก ฉันได้เรียนรู้จากพี่ Project Manager ที่เคยทำงานด้วยแล้วรู้สึกว่าเป็นบทเรียนที่ดีมากๆคือ อย่ากลัวที่จะผิด พี่เขาบอกว่า เรายังเป็นเด็กอยู่ อย่าได้กลัวที่จะทำอะไรที่เราไม่เคยทำ เพราะถ้าผิดตั้งแต่ตอนเป็นเต็ก ยังมีคนให้อภัย ให้โอกาส ฉันจำคำเขาได้แม่นมาก "ผิดตอนนี้ ดีกว่าโง่ตอนโต"

เกือบ 2 ปีผ่านไป ในที่สุดฉันก็ได้โอกาสได้เป็น candidate ในการไป secondment ณ ประเทศสิงคโปร์ เสมือนต้องสมัครงานใหม่ ฉันต้องทำ resume ใหม่ (โดยมีพี่ Partner ช่วย review) นัดสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับ Partner ฝั่งสิงคโปร์ (โดยมีพี่ Partner โทรมาซ้อมให้) ติดต่อตามเรื่องจนกระทั่งได้มีการยืนยันว่าฉันได้ไป secondment

หลังจากนั้นทำสัญญา ขอ work permit หาที่พัก เก็บงานที่ทำค้างไว้ จนกระทั่งหลายๆอย่างเริ่มเข้ารูปเข้ารอย ระหว่างนั้นต้องติดต่อกับ HR ถึง 6 คน ที่ไทย 2 ทางสิงคโปร์ 4 ลุ้นอยู่จนแทบขาดใจอยู่หลายช่วง ทั้งตอนรอผลสัมภาษณ์ ตอนรอสัญญา ตอนรออนุมัติ work permit

ดังนั้น โอกาสที่ได้มาถึงมีค่าสำหรับฉันมากๆ เพราะมันหมายถึงการพัฒนาตัวเอง พัฒนาภาษาอังกฤษ การได้ไปเห็นเปิดโลกทัศน์ เห็นการทำงาน เห็นวัฒนธรรมการใช้ชีวิตและการทำงานของประเทศอื่น

จริงๆแล้วต้องบอกว่าฉันโชคดีมาก ที่ได้มาเจอพี่ Partner คนนี้ ที่ทำให้ฉันมีวันนี้ได้ บทเรียนที่รวบรวมมาในวันนี้ เป็นบทเรียนที่เขาสอนทั้งทางตรงและทั้งอ้อม แม้บางครั้งจะแอบมีน้ำตาตกในบ้าง แต่มันทำให้ฉันเรียนรู้พัฒนาตัวเองได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

ฉันไม่ใช่คนเก่งโดดเด่นเหนือเพื่อนร่วมงานคนอื่น แต่สิ่งที่ทำให้ฉันได้โอกาสนี้มา คือความพยายามและความมุ่งมั่น (ที่มากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้) เวลาโดนปฎิเสธหรือโดน feedback แรงๆ อาจท้อได้ แต่ขอให้ลุกขึ้นมาสู้กับมัน อยากจะย้ำอีกทีก็คือ อย่าคิดว่าสิ่งที่เราหวังหรือฝันไว้เป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นไปได้ make the impossible possible

ติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆได้ที่ https://www.facebook.com/janestoriesblog?ref=hl

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่