สวัสดีครับพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนยังจำรีวิวทริปลอนดอนกระทู้ชื่อ
“3 หนุ่ม 3 มุม พาเที่ยว 100% Design London บันทึกของพาพัน ตอนแรก” ได้มั้ยคร้าบบบ
เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว พาพันมีโอกาสได้รู้จักกับพี่สมาชิกพันทิปคนหนึ่งที่ไปเรียนต่อที่ลอนดอน พี่เค้าช่วยพาพันหาข้อมูลเกี่ยวกับเที่ยวลอนดอนที่พาพันต้องเตรียมไว้ให้กับ
ผู้ชนะเลิศโครงการ Use Me Again ใส่ความคิด พิชิตขยะ และใจดีมากสละเวลาอันมีค่าของพี่เค้ามาวางแผนจัดโปรแกรมทริปให้พาพัน ซึ่งเราใช้เวลาแก้ไขปรับโน่นจองนี่กันนานกว่าจะลงตัวถูกใจ...ก้อในวันสุดท้ายก่อนออกเดินทาง 17 กันยายน 2556 และอาสามารับพวกเราชาวคณะพันทิปที่ถึงสนามบินฮีทโทรว์แต่เช้าตรู่ พี่เค้าอยู่ช่วยอำนวยความสะดวกทีมเราอย่างเต็มที่ ทำให้วันแรกของทริปผ่านไปอย่างเรียบร้อย...สนุกทีเดียว
วันนั้น... เป็นวันที่พวกเราประทับใจ...อบอุ่นมาก พาพันบอกตรงๆว่าซาบซึ้งในน้ำใจพี่สมาชิกคนนี้
ขอบคุณพี่คุณ พิทักษ์ศักดิ์มากๆ ที่ดูแลพาพันเป็นอย่างดีครับ ว้าว ... พาพันโชคดีมากๆ เลยใช่ไหมครับ
ช่วงเวลาที่ได้ติดต่อกัน พอได้พูดคุยแล้ว นอกจากจะเป็นคนใจเย็น มัธยัสถ์ คิดนอกกรอบ พาพันว่าพี่เค้าเป็นอีกหนึ่งคนที่มีชีวิตที่น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ และอาจจะเป็นชีวิตที่หลายๆ คนคาดหวัง ตั้งใจ หรือใฝ่ฝันไว้ด้วย พาพันเลยถือโอกาส นำบันทึกฉบับนี้ มาแชร์ให้พี่ๆ เพื่อนๆ โดยเฉพาะใครที่กำลังคิดจะไปเรียนต่อต่างแดนได้อ่านกันครับ
บันทึกของพาพัน
วันนี้พาพันมีนัดกับ "พี่คุณ - ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิทักษ์ศักดิ์ ทิศาภาคย์" ครับ พี่คุณเป็นสมาชิกพันทิป ที่ตอนนี้เรียนต่อในระดับปริญญาเอกอยู่ที่ The School of Oriental and African Studies, University of London (SOAS) ในสาขาด้านสื่อสารมวลชนครับ
"ผมเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะนิเทศศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยมีทุนสนับสนุนบุคลากร คือเค้าจะดูว่าบุคลากรคนไหนมีศักยภาพในการพัฒนาทางด้านวิชาการ เค้าก็ยินดีสนับสนุนเต็มที่ แต่ละปีจะมีให้ประมาณสิบกว่าทุน พอผมทำงานมาได้ 5 ปี ก็ผลิตผลงานทางวิชาการ ทำบทความ ทำวิจัย จนกระทั่งได้ตำแหน่งทางวิชาการมา ก็คิดต่อว่าเราจะพัฒนาตัวเองยังไงได้อีก เลยสมัครไปเรียนต่อ (ยิ้ม)"
ว้าว ... น่าตื่นเต้นแล้วใช่ไหมครับ ไปฟังพี่คุณเล่าต่อกันดีกว่าว่าก่อนจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่นู่นมีการเตรียมตัวยังไงบ้าง
"ก็ได้เว็บพันทิปนี่แหละครับ (ยิ้ม) ถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญมาก ตอนนั้นเราไม่รู้อะไรเลย ไม่มีเพื่อนที่เคยไปเรียน ไม่มีใครให้คำปรึกษา ก็เอาพันทิปเป็นหลัก เวลาเซิจในกูเกิ้ลก็จะเซิจสิ่งที่ต้องการค้นคว้า เช่น วีซ่านักเรียนทำยังไง ข้อมูลที่ได้กลับมาเป็นข้อมูลจากพันทิปทั้งนั้นเลย หรือเรื่องการหาที่พัก ปรับตัว แพ็คกระเป๋า ก็จะได้ข้อมูลจากพันทิปที่มีคนมารีวิวไว้ อย่างห้องไกลบ้านจะช่วยได้เยอะเลย เพราะคนที่เค้าไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศแล้วจะมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน พอได้ข้อมูลตรงนี้แล้ว ก็ไปหาข้อมูลจากแหล่งจริงมากขึ้น เช่น จากสถานทูต สายการบิน หรือจากมหาวิทยาลัยโดยตรง ก่อนหน้านี้เคยไปแค่แถบประเทศเพื่อนบ้าน (ยิ้ม) ไม่เคยมีประสบการณ์ที่จะไปไกลขนาดนี้ ก็อาศัยการหาข้อมูลนี่แหละครับ พอมีข้อมูลก็จะเหมือนมีสมบัติอยู่ในตัว ซึ่งด้วยความที่ทุกอย่างมันไม่เหมือนบ้านเรา อัตราแลกเปลี่ยน การใช้เงิน การกิน การอยู่ การเดินทาง อะไรที่สามารถหาข้อมูลได้เราก็ควรรู้ไว้ก่อน"
จริงอย่างที่พี่คุณบอกนะครับ ทุกอย่างที่นู่นน่าจะแตกต่างจากบ้านเรามากทีเดียว แล้วอย่างนี้ช่วงแรกๆ ที่ไปอยู่ เจอปัญหาหรือมี Culture Shock อะไรไหมครับ
"Culture Shock ที่เจอคือเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ในบ้านนั่นแหละ คือตอนที่ไปตั้งใจว่าอยากไปซึมซับวัฒนธรรมของเค้าให้ได้มากที่สุด เลยพยายามหาบ้านเช่าที่เป็นคนอังกฤษ ตอนที่ตระเวนหาบ้าน ช็อคอย่างหนึ่งคือ คนฝรั่งเค้าไม่ถอดรองเท้าเดินในบ้าน ตกใจมาก เวลาเค้าเปิดบ้านให้ผมเข้าไปดู แนะนำห้องนอน ห้องครัว เค้าก็ใส่รองเท้าเดิน แล้วบ้านเป็นพรมทั้งหลัง ผมก็ เฮ้ย ทำไมไม่ถอดรองเท้า ถ้าเราอยู่บ้านแบบนี้ เราอยู่ไม่ได้แน่ๆ เลย (หัวเราะ) ส่วนบ้านที่ได้อยู่จริงๆ มีความประทับใจแรกก็คือ เค้าบอกให้ผมถอดรองเท้าก่อน ผมก็ เออ ถูกใจแฮะ (หัวเราะ)"
"บ้านที่ผมได้อยู่เจ้าของบ้านเป็นคนอังกฤษแท้เลย เป็นสุภาพสตรีอายุ 40 กว่า และเป็นนักศึกษาปริญญาเอกด้วย คือเค้าเปิดบ้านให้คนนอกเข้าไปอยู่รวมกับเค้า 2 ห้อง ซึ่งเค้าก็คัดคนที่จะเข้ามาอยู่ว่าต้องเป็นคนในวงการวิชาการ อาจจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือนักศึกษาปริญญาเอก เค้าก็เลยรับ ผมเลยได้เรียนรู้ทุกอย่างมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการฝึกฟัง ฝึกพูด ได้จากเค้าเยอะมาก แต่คนอื่นๆ ที่ไปเรียนต่อที่อังกฤษ หลายคนจะไปแชร์บ้านอยู่ด้วยกัน คือคนไทยจะเช่าบ้านทั้งหลังไว้ แล้วซอยเป็นห้องย่อย ซึ่งถ้าอยู่แบบนั้นเราก็จะเจอแต่คนไทย ทำอาหารไทย มีปัญหาก็ปรับทุกข์กันด้วยภาษาไทย จะเรียนรู้ภาษาได้น้อย แต่เราอยู่กับคนอังกฤษก็จะมีปัญหานิดหน่อยในเรื่องการปรับตัวเข้ากับเจ้าบ้าน เรื่องภาษา ตอนแรกเค้าบอกเลยว่าเค้าฟังเราไม่รู้เรื่อง ในขณะที่เราเองเวลาจะพูดอะไรกับเค้า ก็ต้องคิดก่อนว่า เฮ้ย เดี๋ยวจะพูดแบบนี้นะ เรียบเรียงประโยคให้เสร็จถึงจะพูดออกไป ก็เหมือนกับคุยกับเค้าไม่สนุก ไม่สามารถคุยได้ทุกเรื่อง บางทีอยากคุยเรื่องทั่วๆ ไป เรื่องชีวิต เราก็นึกไม่ออกว่าจะใช้คำศัพท์อะไร แล้ว Culture Shock ก็มีมาเรื่อยๆ (หัวเราะ)"
"สิ่งหนึ่งที่เจอคือช่วงหน้าหนาว ด้วยความที่เจ้าของบ้านเป็นคนประหยัดไฟ และมีจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างแรงกล้า ต้องใช้คำนี้ (หัวเราะ) เค้าจะควบคุมเราทุกอย่าง ใช้น้ำประหยัด ใช้ไฟประหยัด ฮีตเตอร์จะเปิดแค่ 2 ชั่วโมง พอปิดความร้อนก็จะยังอยู่ในบ้าน แต่ด้วยความที่เมืองไทยร้อนมาก พอเราไปอยู่เมืองหนาว อุณหภูมิที่เค้าคิดว่าร้อน มันก็คือหนาวของเรา เพราะฉะนั้นผมจะทรมานมาก เวลาเค้าปิดฮีตเตอร์แล้วเราหนาว เชื่อไหมว่าเวลาผมนอน ขนาดหมอนก็ยังเย็น นอนเอาแก้มแนบกับหมอน มันเย็นจนนอนไม่หลับ คลุมโปงก็แล้ว ก็นอนไม่หลับ บางคนอาจจะเห็นว่าหน้าหนาวนี่เท่นะ มีผ้าพันคอ ใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ ไปนั่งดูหิมะ โรแมนติก แต่ถ้าไปอยู่จริง มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ เสื้อผ้าต้องใส่หลายชั้นซึ่งมันจะทำให้อึดอัด หนาวมากจนทรมาน (ยิ้ม) และมีอีกเรื่องหนึ่งคือตอนล้างจาน เค้าบอกว่ายูจะล้างเหมือนอยู่เมืองไทย ล้างทีละใบ เปิดน้ำให้ไหลผ่านไม่ได้นะ คือที่นู่นเค้าจะกินแล้ววางสุมๆ กันไว้ สัก 3-4 วัน ถึงจะล้างทีนึง วิธีล้างคือจะเปิดน้ำร้อนจัด ใส่ซิ้งค์จนเต็ม แล้วบีบน้ำยาล้างจานใส่สักหน่อย ตีให้เป็นฟอง แล้วเอาจานทุกอย่างใส่ลงไปในซิ้งค์ และค่อยๆ ล้าง ล้างเสร็จก็ยกขึ้น เก็บเลย (หัวเราะ) เป็นวัฒนธรรมที่น่าตกใจอย่างรุนแรงมาก ผมเคยอ่านในพันทิปและที่อื่นๆ ด้วย คนอื่นเค้าก็เป็น ตกใจเหมือนกัน ทำไมเค้าล้างแบบนี้ (ยิ้ม)"
ทำไมพี่คุณถึงเลือกไปเรียนต่อที่ลอนดอนครับ
"จริงๆ ผมมีพื้นฐานด้านสื่อสารมวลชนมาตั้งแต่ปริญญาตรี ผมจบตรีและโทจากคณะวารสารศาสตร์ฯ ม.ธรรมศาสตร์ และผมมองว่าถ้าจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ผมอยากไปอังกฤษ และคิดว่าถ้าจะไปเรียนอังกฤษ ที่ลอนดอนมันสุดยอดแล้ว คือไม่ใช่เรียนอย่างเดียว เราจะได้ไปเปิดโลกทัศน์ ได้เห็นวัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนในเมืองใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก และถ้ามองด้านสื่อ ลอนดอนก็มีชื่อมาก BBC ITV ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ต้นแบบและมีมาตรฐานในการทำงาน เราจะได้เรียนรู้ส่วนนี้ด้วย เลยตั้งเป้าว่าจะไปเรียนที่นี่ ต่อไปก็หาว่ามีมหาวิทยาลัยอะไรบ้างที่สอนด้านสื่อสารมวลชนในระดับปริญญาเอก ก็หามหาวิทยาลัยที่ความรู้ความสามารถเราจะสมัครได้ เลยเลือกที่นี่ที่เดียว แล้วเค้าก็ตอบรับ เลยได้เรียนที่นี่ครับ (ยิ้ม)"
บันทึกของพาพัน@Pantip ตอน ชีวิตนักศึกษาที่ลอนดอนของพี่คุณ พิทักษ์ศักดิ์
สวัสดีครับพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนยังจำรีวิวทริปลอนดอนกระทู้ชื่อ “3 หนุ่ม 3 มุม พาเที่ยว 100% Design London บันทึกของพาพัน ตอนแรก” ได้มั้ยคร้าบบบ
เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว พาพันมีโอกาสได้รู้จักกับพี่สมาชิกพันทิปคนหนึ่งที่ไปเรียนต่อที่ลอนดอน พี่เค้าช่วยพาพันหาข้อมูลเกี่ยวกับเที่ยวลอนดอนที่พาพันต้องเตรียมไว้ให้กับผู้ชนะเลิศโครงการ Use Me Again ใส่ความคิด พิชิตขยะ และใจดีมากสละเวลาอันมีค่าของพี่เค้ามาวางแผนจัดโปรแกรมทริปให้พาพัน ซึ่งเราใช้เวลาแก้ไขปรับโน่นจองนี่กันนานกว่าจะลงตัวถูกใจ...ก้อในวันสุดท้ายก่อนออกเดินทาง 17 กันยายน 2556 และอาสามารับพวกเราชาวคณะพันทิปที่ถึงสนามบินฮีทโทรว์แต่เช้าตรู่ พี่เค้าอยู่ช่วยอำนวยความสะดวกทีมเราอย่างเต็มที่ ทำให้วันแรกของทริปผ่านไปอย่างเรียบร้อย...สนุกทีเดียว
วันนั้น... เป็นวันที่พวกเราประทับใจ...อบอุ่นมาก พาพันบอกตรงๆว่าซาบซึ้งในน้ำใจพี่สมาชิกคนนี้ ขอบคุณพี่คุณ พิทักษ์ศักดิ์มากๆ ที่ดูแลพาพันเป็นอย่างดีครับ ว้าว ... พาพันโชคดีมากๆ เลยใช่ไหมครับ
ช่วงเวลาที่ได้ติดต่อกัน พอได้พูดคุยแล้ว นอกจากจะเป็นคนใจเย็น มัธยัสถ์ คิดนอกกรอบ พาพันว่าพี่เค้าเป็นอีกหนึ่งคนที่มีชีวิตที่น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ และอาจจะเป็นชีวิตที่หลายๆ คนคาดหวัง ตั้งใจ หรือใฝ่ฝันไว้ด้วย พาพันเลยถือโอกาส นำบันทึกฉบับนี้ มาแชร์ให้พี่ๆ เพื่อนๆ โดยเฉพาะใครที่กำลังคิดจะไปเรียนต่อต่างแดนได้อ่านกันครับ
บันทึกของพาพัน
วันนี้พาพันมีนัดกับ "พี่คุณ - ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิทักษ์ศักดิ์ ทิศาภาคย์" ครับ พี่คุณเป็นสมาชิกพันทิป ที่ตอนนี้เรียนต่อในระดับปริญญาเอกอยู่ที่ The School of Oriental and African Studies, University of London (SOAS) ในสาขาด้านสื่อสารมวลชนครับ
"ผมเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะนิเทศศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยมีทุนสนับสนุนบุคลากร คือเค้าจะดูว่าบุคลากรคนไหนมีศักยภาพในการพัฒนาทางด้านวิชาการ เค้าก็ยินดีสนับสนุนเต็มที่ แต่ละปีจะมีให้ประมาณสิบกว่าทุน พอผมทำงานมาได้ 5 ปี ก็ผลิตผลงานทางวิชาการ ทำบทความ ทำวิจัย จนกระทั่งได้ตำแหน่งทางวิชาการมา ก็คิดต่อว่าเราจะพัฒนาตัวเองยังไงได้อีก เลยสมัครไปเรียนต่อ (ยิ้ม)"
ว้าว ... น่าตื่นเต้นแล้วใช่ไหมครับ ไปฟังพี่คุณเล่าต่อกันดีกว่าว่าก่อนจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่นู่นมีการเตรียมตัวยังไงบ้าง
"ก็ได้เว็บพันทิปนี่แหละครับ (ยิ้ม) ถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญมาก ตอนนั้นเราไม่รู้อะไรเลย ไม่มีเพื่อนที่เคยไปเรียน ไม่มีใครให้คำปรึกษา ก็เอาพันทิปเป็นหลัก เวลาเซิจในกูเกิ้ลก็จะเซิจสิ่งที่ต้องการค้นคว้า เช่น วีซ่านักเรียนทำยังไง ข้อมูลที่ได้กลับมาเป็นข้อมูลจากพันทิปทั้งนั้นเลย หรือเรื่องการหาที่พัก ปรับตัว แพ็คกระเป๋า ก็จะได้ข้อมูลจากพันทิปที่มีคนมารีวิวไว้ อย่างห้องไกลบ้านจะช่วยได้เยอะเลย เพราะคนที่เค้าไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศแล้วจะมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน พอได้ข้อมูลตรงนี้แล้ว ก็ไปหาข้อมูลจากแหล่งจริงมากขึ้น เช่น จากสถานทูต สายการบิน หรือจากมหาวิทยาลัยโดยตรง ก่อนหน้านี้เคยไปแค่แถบประเทศเพื่อนบ้าน (ยิ้ม) ไม่เคยมีประสบการณ์ที่จะไปไกลขนาดนี้ ก็อาศัยการหาข้อมูลนี่แหละครับ พอมีข้อมูลก็จะเหมือนมีสมบัติอยู่ในตัว ซึ่งด้วยความที่ทุกอย่างมันไม่เหมือนบ้านเรา อัตราแลกเปลี่ยน การใช้เงิน การกิน การอยู่ การเดินทาง อะไรที่สามารถหาข้อมูลได้เราก็ควรรู้ไว้ก่อน"
จริงอย่างที่พี่คุณบอกนะครับ ทุกอย่างที่นู่นน่าจะแตกต่างจากบ้านเรามากทีเดียว แล้วอย่างนี้ช่วงแรกๆ ที่ไปอยู่ เจอปัญหาหรือมี Culture Shock อะไรไหมครับ
"Culture Shock ที่เจอคือเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ในบ้านนั่นแหละ คือตอนที่ไปตั้งใจว่าอยากไปซึมซับวัฒนธรรมของเค้าให้ได้มากที่สุด เลยพยายามหาบ้านเช่าที่เป็นคนอังกฤษ ตอนที่ตระเวนหาบ้าน ช็อคอย่างหนึ่งคือ คนฝรั่งเค้าไม่ถอดรองเท้าเดินในบ้าน ตกใจมาก เวลาเค้าเปิดบ้านให้ผมเข้าไปดู แนะนำห้องนอน ห้องครัว เค้าก็ใส่รองเท้าเดิน แล้วบ้านเป็นพรมทั้งหลัง ผมก็ เฮ้ย ทำไมไม่ถอดรองเท้า ถ้าเราอยู่บ้านแบบนี้ เราอยู่ไม่ได้แน่ๆ เลย (หัวเราะ) ส่วนบ้านที่ได้อยู่จริงๆ มีความประทับใจแรกก็คือ เค้าบอกให้ผมถอดรองเท้าก่อน ผมก็ เออ ถูกใจแฮะ (หัวเราะ)"
"บ้านที่ผมได้อยู่เจ้าของบ้านเป็นคนอังกฤษแท้เลย เป็นสุภาพสตรีอายุ 40 กว่า และเป็นนักศึกษาปริญญาเอกด้วย คือเค้าเปิดบ้านให้คนนอกเข้าไปอยู่รวมกับเค้า 2 ห้อง ซึ่งเค้าก็คัดคนที่จะเข้ามาอยู่ว่าต้องเป็นคนในวงการวิชาการ อาจจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือนักศึกษาปริญญาเอก เค้าก็เลยรับ ผมเลยได้เรียนรู้ทุกอย่างมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการฝึกฟัง ฝึกพูด ได้จากเค้าเยอะมาก แต่คนอื่นๆ ที่ไปเรียนต่อที่อังกฤษ หลายคนจะไปแชร์บ้านอยู่ด้วยกัน คือคนไทยจะเช่าบ้านทั้งหลังไว้ แล้วซอยเป็นห้องย่อย ซึ่งถ้าอยู่แบบนั้นเราก็จะเจอแต่คนไทย ทำอาหารไทย มีปัญหาก็ปรับทุกข์กันด้วยภาษาไทย จะเรียนรู้ภาษาได้น้อย แต่เราอยู่กับคนอังกฤษก็จะมีปัญหานิดหน่อยในเรื่องการปรับตัวเข้ากับเจ้าบ้าน เรื่องภาษา ตอนแรกเค้าบอกเลยว่าเค้าฟังเราไม่รู้เรื่อง ในขณะที่เราเองเวลาจะพูดอะไรกับเค้า ก็ต้องคิดก่อนว่า เฮ้ย เดี๋ยวจะพูดแบบนี้นะ เรียบเรียงประโยคให้เสร็จถึงจะพูดออกไป ก็เหมือนกับคุยกับเค้าไม่สนุก ไม่สามารถคุยได้ทุกเรื่อง บางทีอยากคุยเรื่องทั่วๆ ไป เรื่องชีวิต เราก็นึกไม่ออกว่าจะใช้คำศัพท์อะไร แล้ว Culture Shock ก็มีมาเรื่อยๆ (หัวเราะ)"
"สิ่งหนึ่งที่เจอคือช่วงหน้าหนาว ด้วยความที่เจ้าของบ้านเป็นคนประหยัดไฟ และมีจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างแรงกล้า ต้องใช้คำนี้ (หัวเราะ) เค้าจะควบคุมเราทุกอย่าง ใช้น้ำประหยัด ใช้ไฟประหยัด ฮีตเตอร์จะเปิดแค่ 2 ชั่วโมง พอปิดความร้อนก็จะยังอยู่ในบ้าน แต่ด้วยความที่เมืองไทยร้อนมาก พอเราไปอยู่เมืองหนาว อุณหภูมิที่เค้าคิดว่าร้อน มันก็คือหนาวของเรา เพราะฉะนั้นผมจะทรมานมาก เวลาเค้าปิดฮีตเตอร์แล้วเราหนาว เชื่อไหมว่าเวลาผมนอน ขนาดหมอนก็ยังเย็น นอนเอาแก้มแนบกับหมอน มันเย็นจนนอนไม่หลับ คลุมโปงก็แล้ว ก็นอนไม่หลับ บางคนอาจจะเห็นว่าหน้าหนาวนี่เท่นะ มีผ้าพันคอ ใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ ไปนั่งดูหิมะ โรแมนติก แต่ถ้าไปอยู่จริง มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ เสื้อผ้าต้องใส่หลายชั้นซึ่งมันจะทำให้อึดอัด หนาวมากจนทรมาน (ยิ้ม) และมีอีกเรื่องหนึ่งคือตอนล้างจาน เค้าบอกว่ายูจะล้างเหมือนอยู่เมืองไทย ล้างทีละใบ เปิดน้ำให้ไหลผ่านไม่ได้นะ คือที่นู่นเค้าจะกินแล้ววางสุมๆ กันไว้ สัก 3-4 วัน ถึงจะล้างทีนึง วิธีล้างคือจะเปิดน้ำร้อนจัด ใส่ซิ้งค์จนเต็ม แล้วบีบน้ำยาล้างจานใส่สักหน่อย ตีให้เป็นฟอง แล้วเอาจานทุกอย่างใส่ลงไปในซิ้งค์ และค่อยๆ ล้าง ล้างเสร็จก็ยกขึ้น เก็บเลย (หัวเราะ) เป็นวัฒนธรรมที่น่าตกใจอย่างรุนแรงมาก ผมเคยอ่านในพันทิปและที่อื่นๆ ด้วย คนอื่นเค้าก็เป็น ตกใจเหมือนกัน ทำไมเค้าล้างแบบนี้ (ยิ้ม)"
ทำไมพี่คุณถึงเลือกไปเรียนต่อที่ลอนดอนครับ
"จริงๆ ผมมีพื้นฐานด้านสื่อสารมวลชนมาตั้งแต่ปริญญาตรี ผมจบตรีและโทจากคณะวารสารศาสตร์ฯ ม.ธรรมศาสตร์ และผมมองว่าถ้าจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ผมอยากไปอังกฤษ และคิดว่าถ้าจะไปเรียนอังกฤษ ที่ลอนดอนมันสุดยอดแล้ว คือไม่ใช่เรียนอย่างเดียว เราจะได้ไปเปิดโลกทัศน์ ได้เห็นวัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนในเมืองใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก และถ้ามองด้านสื่อ ลอนดอนก็มีชื่อมาก BBC ITV ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ต้นแบบและมีมาตรฐานในการทำงาน เราจะได้เรียนรู้ส่วนนี้ด้วย เลยตั้งเป้าว่าจะไปเรียนที่นี่ ต่อไปก็หาว่ามีมหาวิทยาลัยอะไรบ้างที่สอนด้านสื่อสารมวลชนในระดับปริญญาเอก ก็หามหาวิทยาลัยที่ความรู้ความสามารถเราจะสมัครได้ เลยเลือกที่นี่ที่เดียว แล้วเค้าก็ตอบรับ เลยได้เรียนที่นี่ครับ (ยิ้ม)"