สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆชาวพันทิปทุกคน ตามพาพันเจ้าประจำมาเรียนวิชา "Scrap design" หรือวิชา “ออกแบบเศษวัสดุเหลือใช้” กันนะครับ นี่เป็นซีรี่ย์ลำดับที่ 4 ของวิชานี้ครับ
ส่วนใครพลาดกระทู้ที่ผ่านมา พาพันขอเอามาแปะเรียงให้ตามไปอ่านกันได้ง่ายๆ ตามนี้เลยครับ
Scrap Design the Series 1 "บันทึกของพาพัน@pantip ตอน วิชาออกแบบเศษวัสดุเหลือใช้"
Scrap Design the Series 2 บันทึกของพาพัน@pantip ตอน เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์กับเส้นใยธรรมชาติ วิชา Scrap Design
Scrap Design the Series 3 บันทึกของพาพัน@pantip ตอน Dyeing การย้อมสี กลวิธีดึงสีสันจากธรรมชาติ
ครับ และสำหรับ Scrap Design the Series ลำดับที่ 4 นี้ จะเป็นเรื่องที่พาพันแอบติดพี่ๆ ว่าพาพันจะมาเล่าให้ฟังหลายทีแล้ว ก็คือ เรื่องการพัฒนาชิ้นงานของพี่ๆนักศึกษาครับ ตอนที่พาพันไปฟังแรกๆ พาพันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนะครับว่าพี่ๆเขากำลังทำอะไร แล้วทำไมถึงเลือกเศษวัสดุชนิดนั้นมาศึกษา โชคดีเลยครับที่วันนี้พาพันได้มีโอกาสเข้าฟัง “Midterm Review” ที่เป็นการพรีเซนต์ผลงานตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้นในการเลือกเศษวัสดุมาศึกษา การเริ่มทดลองต่างๆ จนกระทั่งถึงการพัฒนางานปัจจุบันเลยครับ
บรรยากาศของ Midterm Review ในวันนี้ครับ มีผู้เชียวชาญในสาขาต่างๆ มาร่วมคอมเมนต์ผลงานเยอะมาก
ในการเรียนวิชานี้นะครับ อาจารย์สิงห์จะให้นิสิตนักศึกษาเศษวัสดุและนำเศษวัสดุนั้นมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์หรือเป็นวัสดุใหม่ๆ ครับ ซึ่งโจทย์ของเศษวัสดุในแต่ละเทอมจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆครับ โดยในเทอมนี้ โจทย์ของเศษวัสดุที่นำมาทำชิ้นงาน คือ เศษอาหาร (Food Wastes) และเศษวัสดุที่ได้จากโรงพยาบาลครับ (Hospital Wastes) นักศึกษาจะจับคู่กันเพื่อเลือกเศษวัสดุจากทั้ง 2 ชนิด มาช่วยกันศึกษาหรือจะโซโลเดี่ยวก็ได้ครับ
นี่คือเศษวัสดุที่ได้จากโรงพยาบาลกลางครับ (Hospital Wastes) ที่เห็นก็จะเป็นพวกซองใส่เครื่องมือแพทย์ ผ้าห่อเครื่องมือแพทย์ ขวดน้ำเกลือ ปลอกเข็มฉีดยา สายให้น้ำเกลือที่ยังไม่ได้ใช้ ซึ่งเศษวัสดุเหล่านี้อยู่ในสภาพปลอดเชื้อทั้งหมดนะครับ
ในเทอมนี้มีนักศึกษาทั้งหมด 10 ทีมครับ ประมาณ 20 คน พาพันขอเชิญเพื่อนๆ พี่ๆ มาชมการพัฒนาเศษวัสดุของกลุ่มแรกกันก่อนเลย
กลุ่มแรกเป็นกลุ่มของพี่หมวย ณิฐวรีย์ นักศึกษาชาวไทย กับพี่Adeline นักศึกษาชาวฝรั่งเศสครับ เขาเลือกศึกษาเปลือกไข่และสายให้น้ำเกลือจากโรงพยาบาล
มากันที่โจทย์แรก ทำไมจึงเลือกเปลือกไข่
เหตุผลแรกที่พี่ๆเขาเลือกเปลือกไข่ก็คือ คนไทยบริโภคไข่เป็นอาหาร ลองคิดแบบง่ายๆว่าถ้าคนไทยบริโภคไข่วันละ 1 ฟอง คนไทยมีทั้งหมด ประมาณ 64 ล้านคน ก็จะมีเปลือกไข่ที่ถูกทิ้งทั้งหมด วันละ 64,000,000 ฟอง เยอะมากๆ เลยนะครับ และเมื่อดูจากลักษณะของไข่ ก็จะพบว่าเปลือกไข่มีความเปราะบาง ลักษณะสีของไข่ด้านนอก และด้านในต่างกัน คือเปลือกไข่ด้านในจะมีสีขาว ส่วนเปลือกไข่ด้านนอกจะมีสีส้มอมน้ำตาลครับ
เมื่อพี่ๆทั้ง 2 คนศึกษาแล้วจึงทราบว่าเยื่อสีขาวๆ ด้านในของเปลือกไข่นั้นคือโปรตีน และส่วนโปรตีนนี้เองที่จะทำให้เกิดกลิ่นและเน่าเสีย เลยต้องกำจัดโปรตีนนี้ออก โดยใช้ขั้นตอนดังนี้ครับ เมื่อได้เปลือกไข่มาแล้ว ก็จะนำมาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นบดเปลือกไข่ให้ละเอียด แล้วนำไปต้มกับกรดไฮโดรคลอลิก (HCl) เพื่อกำจัดโปรตีนออก ซึ่งในขั้นตอนนี้อันตรายมากครับ เพราะพี่ๆ เขาใช้กรดที่เข้มข้นมากเกิดไป แต่โชคดีครับที่ไม่ระเบิด อาจารย์จึงแนะนำว่าต้องเจือจางกรดก่อนค่อยต้มกับเปลือกไข่ แอบเสียวนะครับเนี่ย เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะทดลองอะไรอย่าลืมปรึกษาผู้รู้ก่อนนะครับ ไม่งั้นอาจเกิดอันตรายได้
หลังจากที่เอาต้มกับกรดแล้ว โปรตีนจะถูกทำลายครับ พี่ๆ เลยทดลองเอาผงเปลือกไข่ที่บดและเอาโปรตีนออกแล้วนั้นมาผสมกับไข่ขาว และไข่แดง ให้ความร้อน แล้วขึ้นรูปด้วยการปั้นครับ แต่ปรากฏว่าพอให้ความร้อนแล้วเปลือกไข่ที่ผสมกับไข่กลายเป็นเม็ดแข็งๆ ร่วนๆ ไม่สามารถขึ้นรูปได้ครับ
พี่ๆ เลยลองใช้แป้งมันเป็นตัวประสาน โดยผสมเปลือกไข่ 200 กรัมกับแป้งมัน 30 กรัม จากนั้นเอาไปอบที่อุณหภูมิ 200 องศา เป็นเวลา 20 นาทีครับ หลังจากอบแล้วจะออกมาหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร ไปดูกัน
ชิ้นงานที่ออกมาแข็งตัวและสามารถขึ้นรูปได้ครับ
ส่วนเศษวัสดุจากโรงพยาบาล พี่ๆกลุ่มนี้เลือกเอาสายพลาสติกมาศึกษาครับสายพลาสติกนี้มีคุณสมบัติคือยืดหยุ่น แข็งแรงและเหนียว รวมถึงโปร่งแสงด้วยครับ
จากคุณสมบัติดังกล่าว พี่ๆ เลยเอามาสาน ให้กลายเป็นแบบนี้
สานเสร็จก็ลองเอามาใส่ไฟดูครับ
นี่คือการทดลองจากเปลือกไข่และสายพลาสติกครับ
จากงานสานสายพลาสติกที่ออกมา ดูแล้วจะยังไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ ส่วนงานเปลือกไข่ที่ออกมาดูแล้วน่าจะหาทางพัฒนาต่อไปได้ ซึ่งตัวพี่หมวยกับพี่อดีลีน เห็นความน่าสนใจและความท้าทายของงานเปลือกไข่มากกว่าครับ พี่ๆ เลยจะมุ่งหน้าพัฒนางานเปลือกไข่เพียงอย่างเดียว โดยจะศึกษาเรื่อง Binder หรือตัวประสานของเปลือกไข่ครับ ซึ่งได้รับคำแนะนำว่าให้ลองใช้แป้งมัน โดยต้องลองไปศึกษาหาสูตรที่เหมาะสม
บันทึกของพาพัน@pantip ตอน ผลงานการศึกษาและออกแบบเศษวัสดุ วิชา Scrap design
สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆชาวพันทิปทุกคน ตามพาพันเจ้าประจำมาเรียนวิชา "Scrap design" หรือวิชา “ออกแบบเศษวัสดุเหลือใช้” กันนะครับ นี่เป็นซีรี่ย์ลำดับที่ 4 ของวิชานี้ครับ
ส่วนใครพลาดกระทู้ที่ผ่านมา พาพันขอเอามาแปะเรียงให้ตามไปอ่านกันได้ง่ายๆ ตามนี้เลยครับ
Scrap Design the Series 1 "บันทึกของพาพัน@pantip ตอน วิชาออกแบบเศษวัสดุเหลือใช้"
Scrap Design the Series 2 บันทึกของพาพัน@pantip ตอน เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์กับเส้นใยธรรมชาติ วิชา Scrap Design
Scrap Design the Series 3 บันทึกของพาพัน@pantip ตอน Dyeing การย้อมสี กลวิธีดึงสีสันจากธรรมชาติ
ครับ และสำหรับ Scrap Design the Series ลำดับที่ 4 นี้ จะเป็นเรื่องที่พาพันแอบติดพี่ๆ ว่าพาพันจะมาเล่าให้ฟังหลายทีแล้ว ก็คือ เรื่องการพัฒนาชิ้นงานของพี่ๆนักศึกษาครับ ตอนที่พาพันไปฟังแรกๆ พาพันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนะครับว่าพี่ๆเขากำลังทำอะไร แล้วทำไมถึงเลือกเศษวัสดุชนิดนั้นมาศึกษา โชคดีเลยครับที่วันนี้พาพันได้มีโอกาสเข้าฟัง “Midterm Review” ที่เป็นการพรีเซนต์ผลงานตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้นในการเลือกเศษวัสดุมาศึกษา การเริ่มทดลองต่างๆ จนกระทั่งถึงการพัฒนางานปัจจุบันเลยครับ
ในการเรียนวิชานี้นะครับ อาจารย์สิงห์จะให้นิสิตนักศึกษาเศษวัสดุและนำเศษวัสดุนั้นมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์หรือเป็นวัสดุใหม่ๆ ครับ ซึ่งโจทย์ของเศษวัสดุในแต่ละเทอมจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆครับ โดยในเทอมนี้ โจทย์ของเศษวัสดุที่นำมาทำชิ้นงาน คือ เศษอาหาร (Food Wastes) และเศษวัสดุที่ได้จากโรงพยาบาลครับ (Hospital Wastes) นักศึกษาจะจับคู่กันเพื่อเลือกเศษวัสดุจากทั้ง 2 ชนิด มาช่วยกันศึกษาหรือจะโซโลเดี่ยวก็ได้ครับ
ในเทอมนี้มีนักศึกษาทั้งหมด 10 ทีมครับ ประมาณ 20 คน พาพันขอเชิญเพื่อนๆ พี่ๆ มาชมการพัฒนาเศษวัสดุของกลุ่มแรกกันก่อนเลย
กลุ่มแรกเป็นกลุ่มของพี่หมวย ณิฐวรีย์ นักศึกษาชาวไทย กับพี่Adeline นักศึกษาชาวฝรั่งเศสครับ เขาเลือกศึกษาเปลือกไข่และสายให้น้ำเกลือจากโรงพยาบาล
มากันที่โจทย์แรก ทำไมจึงเลือกเปลือกไข่
เหตุผลแรกที่พี่ๆเขาเลือกเปลือกไข่ก็คือ คนไทยบริโภคไข่เป็นอาหาร ลองคิดแบบง่ายๆว่าถ้าคนไทยบริโภคไข่วันละ 1 ฟอง คนไทยมีทั้งหมด ประมาณ 64 ล้านคน ก็จะมีเปลือกไข่ที่ถูกทิ้งทั้งหมด วันละ 64,000,000 ฟอง เยอะมากๆ เลยนะครับ และเมื่อดูจากลักษณะของไข่ ก็จะพบว่าเปลือกไข่มีความเปราะบาง ลักษณะสีของไข่ด้านนอก และด้านในต่างกัน คือเปลือกไข่ด้านในจะมีสีขาว ส่วนเปลือกไข่ด้านนอกจะมีสีส้มอมน้ำตาลครับ
เมื่อพี่ๆทั้ง 2 คนศึกษาแล้วจึงทราบว่าเยื่อสีขาวๆ ด้านในของเปลือกไข่นั้นคือโปรตีน และส่วนโปรตีนนี้เองที่จะทำให้เกิดกลิ่นและเน่าเสีย เลยต้องกำจัดโปรตีนนี้ออก โดยใช้ขั้นตอนดังนี้ครับ เมื่อได้เปลือกไข่มาแล้ว ก็จะนำมาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นบดเปลือกไข่ให้ละเอียด แล้วนำไปต้มกับกรดไฮโดรคลอลิก (HCl) เพื่อกำจัดโปรตีนออก ซึ่งในขั้นตอนนี้อันตรายมากครับ เพราะพี่ๆ เขาใช้กรดที่เข้มข้นมากเกิดไป แต่โชคดีครับที่ไม่ระเบิด อาจารย์จึงแนะนำว่าต้องเจือจางกรดก่อนค่อยต้มกับเปลือกไข่ แอบเสียวนะครับเนี่ย เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะทดลองอะไรอย่าลืมปรึกษาผู้รู้ก่อนนะครับ ไม่งั้นอาจเกิดอันตรายได้
หลังจากที่เอาต้มกับกรดแล้ว โปรตีนจะถูกทำลายครับ พี่ๆ เลยทดลองเอาผงเปลือกไข่ที่บดและเอาโปรตีนออกแล้วนั้นมาผสมกับไข่ขาว และไข่แดง ให้ความร้อน แล้วขึ้นรูปด้วยการปั้นครับ แต่ปรากฏว่าพอให้ความร้อนแล้วเปลือกไข่ที่ผสมกับไข่กลายเป็นเม็ดแข็งๆ ร่วนๆ ไม่สามารถขึ้นรูปได้ครับ
พี่ๆ เลยลองใช้แป้งมันเป็นตัวประสาน โดยผสมเปลือกไข่ 200 กรัมกับแป้งมัน 30 กรัม จากนั้นเอาไปอบที่อุณหภูมิ 200 องศา เป็นเวลา 20 นาทีครับ หลังจากอบแล้วจะออกมาหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร ไปดูกัน
ส่วนเศษวัสดุจากโรงพยาบาล พี่ๆกลุ่มนี้เลือกเอาสายพลาสติกมาศึกษาครับสายพลาสติกนี้มีคุณสมบัติคือยืดหยุ่น แข็งแรงและเหนียว รวมถึงโปร่งแสงด้วยครับ
จากงานสานสายพลาสติกที่ออกมา ดูแล้วจะยังไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ ส่วนงานเปลือกไข่ที่ออกมาดูแล้วน่าจะหาทางพัฒนาต่อไปได้ ซึ่งตัวพี่หมวยกับพี่อดีลีน เห็นความน่าสนใจและความท้าทายของงานเปลือกไข่มากกว่าครับ พี่ๆ เลยจะมุ่งหน้าพัฒนางานเปลือกไข่เพียงอย่างเดียว โดยจะศึกษาเรื่อง Binder หรือตัวประสานของเปลือกไข่ครับ ซึ่งได้รับคำแนะนำว่าให้ลองใช้แป้งมัน โดยต้องลองไปศึกษาหาสูตรที่เหมาะสม