มีใครเคยมีเหตุการณ์ประทับใจ หรือแอบชอบใคร บน BTS หรือ MRT บ้างไหมครับ

แอบคิดเล่นๆว่า BTS หรือ MRT ก็เปิดให้บริการหลายปีแล้ว
อยากทราบว่าเพื่อนๆพี่น้องๆ มีเหตุการณ์ประทับใจอะไรกันบ้างครับ
ในชั่วโมงเร่งด่วนที่ทำให้สามารถยิ้มได้ ^^
จะเป็นเรื่องความมีน้ำใจ หรือแอบชอบก็ได้ครับ

ส่วนตัว จขกท. ใช้บริการ BTS เพื่อไปทำงานทุกวัน จะเจอสาวคนนึง เวลาเดิมที่ รถไฟฟ้าแทบจะทุกวัน
ต้องแอบมาดักรอเค้าทุกเช้า เพื่อขึ้นขบวนเดียวกับเค้า โดยที่เค้าไม่รู้ ได้แค่มองก็ยิ้มแล้ว
ทำแบบนี้มา 4 เดือน หลังจากนั้นไม่เจอเค้ามาประมาณ ปีนึงแล้ว
แต่ขึ้น BTS ทีไร จะนึกถึงสาว office คนนี้ตลอดเลย นึกทีไรก็ยิ้มทุกที

เพื่อนๆมีประสบการณ์มา share กันได้นะครับ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
เราชอบฟังเพลงเวลาอยุ่บนรถ bts อะไรพวกนี้ค่ะ เลยก้มมองจอแค่เวลาเปลี่ยนเพลง
แล้วก็เป็นโรคอีกอย่างนึงคือ เพลงทุกเพลงในมือถือ ต้องมี รูปปกอัลบั้ม Cover ไม่มีแล้วหงุดหงิด (ถึงจะไม่ค่อยได้มองมันก็เหอะ)
เราเป็นคนใช้รถไฟฟ้าทุกวัน โดยจะขึ้นสถานีแบริ่ง ไปลงหมอชิต แล้วเราก็จะมีจุดยืนรอขึ้นรถประจำ เวลาประจำด้วย
คือ 7.30 เนี้ย ยืนหัวยุ่งอยู่ตรงชานชาลาแล้ว แล้วจะยืนแบบ รอขึ้นขบวนใหม่ตลอด ถ้าหากเดินมาแล้วมีรถเปิดประตูรอ เราจะไม่เข้า
ว่าง่ายๆ ไม่อยากยืน เราจะรอขบวนใหม่ ระหว่างรอเนี้ยจะหยิบมือถือเสียบหูฟัง เริ่มเปิดเพลง

ทีนี้เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อต้นปีที่แล้ว เราก็มายืนของเราที่ประจำ กำลังรอรถขบวนตรงหน้าออก เพื่อขึ้นขบวนใหม่
พอยัดหูฟังเข้าหูเราก็จะเริ่มกวาดตามองคนรอบข้าง
(ชอบมองคนเดินไปเดินมา มองคนนู้นทีคนนี้ที) เราก็ไปสะดุดตากับผู้ชายคนนึง ยืนถัดจากที่รอขึ้นเราไป1 ช่อง ทางขวา
เขาใส่เชิ้ตสีฟ้า ผูกไทด์ เกงแสลก เนี้ยบมากๆ สะพายกระเป๋าแบบสะพายข้าง เรามองหน้าเค้า มีสายหูฟังเสียบหูที่ต่อมาที่ไอแพด
แขนซ้ายมีสูทพับพาดอยู่ที่แขน นิ้วมือก็จิ้มไอแพดในมือขวา เค้ากำลังก้มหน้ามองไอแพดอยู่ เราเห็นหน้าด้านข้างๆ เลยมองไม่ชัดไม่ชัด รู้แต่ว่าหน้าเค้าสีแทนๆความคิดแรกของเราคือ "ต๊าย พ่อคุณเอ๊ย หยั่งกะพระเอกละครไฮโซ หน้าตาดีมั๊ยเนี้ย ดั้งเป็นสันเลย" แล้วเราก็มองคนอื่นต่อ
พอรถไฟฟ้าเข้ามาเทียบชานชาลา เราก็เดินเข้าไปทันที แต่พอเราเข้าไปเราก็หักเลี้ยว นั่งลงตรงมุมที่เป็นแผ่นกระจกมุมประจำของเรา
ระหว่างรอรถออก เราก็ไม่ได้สนใจอะไร พอป้ายอุดมสุข ดั๊น มีคนท้องเข้ามาตรงประตูที่เรานั่ง เราเลยลุกให้แต่โดยดี

พอคนเริ่มเยอะขึ้นๆ เราก็ต้องขยับมายืนกลางๆโบกี้ ไปจนถึงสถานีสยามที่คนออกไปเกือบหมด เราถึงรู้ว่า เรายืนอยู่ใกล้พี่พระเอกละครไฮโซมาตลอดทางเลย เราก็ อุ๊ต่ะ แหม๊ ชั้นก็ยืนดมกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่ไหนอยู่ไม่รู้ตั้งนาน ที่แท้พี่คนนี้เอง แต่คือตอนนั้นก็ยังไม่เห็นหน้านะ เพราะพี่เค้าหันหน้าไปทางพารากอน เราหันหน้าเข้าสถานี พอคนลง เราก็แยกย้ายไปหาที่นั่งกัน แล้วก็ไม่ได้สนใจกันอีก

วันถัดมา เราก็มายืนที่ประจำของเรา เสียบหูฟัง เปิดเพลง มองรถ คือทำทุกอย่างเหมือนเดิม แต่คราวนี้ เรามองไปทางขวา
เฮ้ย .....พี่พระเอกละครไฮโซ มุมเดิมเลย เสื้อเชิ้ตเปลี่ยนสีเป็นสีขาว แขนซ้ายถือไอแพดมีสูทพาด มือขวาจิ้มไปแพด ยืนก้มหน้า

เรามองเค้าอยู่ซักพัก เพราะรุ้สึกว่าเค้าเหมือนพระเอกละครจริงๆ พอรถมาเราก็ขึ้น แต่คราวนี้เราหักเลี้ยว เข้ามุมนั่งไม่ทัน เลยเดินงงๆไปยืนเกาะประตูรถอีกฝั่งที่ไม่ได้เปิด ก็ดี ยืนรับแสงแดดตอนเช้า เราก็ยังคงไม่สนใจโลกต่อไป แต่เราได้กลิ่นคุ้นๆ ตอนแรกเราคิดว่าคงเป็นพี่คนนั้นแหละ อยากมองหาอยู่เหมือนกัน ยังไม่ได้เห็นหน้าชัดๆเลย แต่ทำไมตอนนั้นเราถึงไม่หันไปก็ไม่รู้ จนกระทั่งข้างหน้าเราเป็นพารากอน ซึ่งแปลว่าที่นั่งว่างแล้ว เราเลยหมุนตัวออกมาจากประตูแล้วก็นั่งลงตรงที่นั่งที่ใกล้ที่สุดที่ว่าง เราหยิบมือถือมาเปลี่ยนเพลง
.....House of Rising Sun ของ The Animals ดีกว่า ไม่ได้ฟังนานแล้ว ......

นิสัยประหลาดๆของเราอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราชอบม้ามากๆ พอถึงสถานีสนามเป้า เราจะลุกขึ้นมายืนเกาะขอบหน้าต่าง เพราะข้างสถานีสนามเป้าเป็นอะไรไม่รู้ของทหาร แต่ที่แน่ๆคือ เวลาเช้าๆแบบนี้ ทหารจะเอาม้าออกมาวิ่ง เราจะไปยืนชะเง้อ ถึงจะเห็นม้าเท่านิ้วก้อยแค่ไม่กี่วินาทีก็ตาม
(ใครที่เคยเจอนักศึกษาที่นั่งๆอยู่บน bts ตอนเช้าๆ พอถึงสนามเป้าปั๊บแล้วลุกขึ้นมาเกาะประตู หน้าต่าง นั้นหละค่ะ เราเอง)
วันนี้เราก็หันไปชะเง้อ แต่พอเราเอี้ยวตัวไปปุ๊บ คนที่นั่งข้างๆเราสะดุ้งโหยงแบบตกใจมาก เราไม่สนใจ มองม้าก่อน พอรถเคลื่อนตัวออกไป ไม่เห้นม้าแล้ว เราก็เอี้ยวตัวกลับมานั่งตามปกติ เลยเห็นหน้าคนข้างๆแว้บๆ ว่าคล้ายๆจะหล่อ เราเลยแอบมองหางตา
เชิ้ตขาว กระเป๋าแบบนี้ สูทแบบนี้ พี่พระเอกละครนั่งอยู่ข้างๆ !!!!!
พอจะถึงสะพานควาย พี่เค้าก็ลุกขึ้น เรามองตามหลังพี่เค้าไป พอประตุรถไฟฟ้าเปิด พี่เค้าหันมามองเรา แล้วก็เดินออกไป
มองทำไมหงะ ..... แปลกใจที่เค้าอยากดูม้าหรอ T_T

วันถัดมา ที่เดิม เวลาเดิม มุมเดิม เสียบหูฟัง มองขวา .....อ้าว เจอแต่รถไฟฟ้าแหะ เห้อ ก็เงี้ยหละนะ วันเสาร์ ......
เค้าหยุดกันแต่ชั้นมีเรียน T^T

เราเลิกเรียนตอนบ่าย 2 และมาอยู่บนรถไฟฟ้าตอน 6 โมงเย็น เพราะมัวแต่เถลไถลเม้ามอย ทำงาน กว่าจะถึงแบริ่งก็ทุ่มนึง
เราเดินออกมาจากรถไฟฟ้า เรื่อยๆ เอื่อยๆ แต่แล้วก็มีใครคนนึงเดนผ่านเราไปด้วยความเร็วเสียง ฟิ้วววววววว
ผู้ชายเสื้อเชิ้ตที่ม่วงๆ สะพายสูทไว้มือซ้าย และกระเป๋าสะพายคุ้นๆ เค้าเดินไปตรงบันไดทางลง แล้วหันกลับมา แล้วมองมาทางเรา
มารยาทสะกดยังไงชั้นไม่รู้จัก รู้แต่ว่าเราจ้อง และเค้าก็คงรุ้ว่าเราจ้อง แต่ก็ไม่หลบตา พอเราเดินเข้ามาใกล้ พี่เค้าก็หันกลับแล้วเดินลงบันไดไป
เป็นครั้งแรกที่เราเห็นหน้าพี่พระเอกละครไฮโซตรงๆ
หล่อมั๊ย ...... ไม่รู้หวะ ..... คิดไม่ทันว่าหล่อรึเปล่า

วันอาทิตย์ ต้องไปม. ทำโปรเจคอีกแหล่ว เห้อ ชีวิต ....ขาไปนี่ ใครเป้นใครอะไรยังไงไม่รู้แหละ
คนท้องขึ้นมาก็ไม่ลุกแล้ว ไม่ไหวแล้ว เมื่อคืนนั่งปั่นๆๆๆๆ โปรเจคยันตี 5 นอนไปแป๊บเดียวเองต้องตื่นมาพาหมาไปวิ่ง ทำงานบ้านก่อนออกจ่กบ้านอีก กว่าวันอาทิตย์จะหมดวัน สติเราก็ ห๊ายยยยย ไปกับสายลมตั้งแต่บ่ายๆแล้วหละ

เรามามีสติอีกทีตอนที่มีคนมาสะกิดไหล่เราบน bts เราเบลอมาก เหนื่อยสุดๆ เอาหูฟังยัดหู แล้วงีบบนรถไฟฟ้า
พอลืมตาขึ้นมา ใครก็ไม่รู้มาสะกิดเรา เราเบลอๆ งงๆ แต่สัญชาตญาณระแวดระวังเราทำงานเต็มที่
เรากระเด้งตัวขึ้นกอดกระเป๋า มือล้วงหากระเป๋าตัง ลูบๆเสื้อผ้านิดนึง เพลงที่ดังในหูแปลว่ามือถือยังอยู่ดี
พอประตูรถเปิด เราก็เดินออกมาทั้งที่ยังงงๆ (อันตรายนะเนี้ย) มีคนสะกิดเราอีกรอบ เราเลยหันไปมอง
ด้วยความที่ตัวสูงมากๆ ทำให้เรามีมุมก้มที่ปรับอัตโนมัติเพื่อคุยกับคนทั่วไป แล้วมองเห็นหน้าพอดี แต่คราวนี้มุมก้มของเราเห็นแต่คาง กับเสื้อยืดสีขาว สกรีนลายวงดนตรี The Door กับกางเกง ขาสั้นและรองเท้า แวน
รสนิยมไม่เลวนี่หว่า ฟัง The Door ด้วยหรือแค่ใส่เสื้อลาย The door หละเนี้ย
เราเงยหน้า แล้วช๊อคสุดๆ....พี่พระเอกละคร !!!!!

พี่พระเอกละครทำคิ้วขมวดๆใส่เรา แล้วกำมือยกนิ้วโป้งขึ้นข้างนึง ประมาณว่า โอเคมั๊ย
เรายกนิ้วโป้งตอบ แล้วก็เค้าก็พยักหน้าก่อนจะเดินออกไป เรามองตาม
โฮ่ อาจจะไม่ได้ใส่เสื้อ The Door เฉยๆ ซะหละม๊าง สะพายกีต้าร์ด้วยเว้ยเฮ้ย
ตอนนั้นเราคิดในใจ ไม่ใช่คนไทยแหงเลยหวะ เจอกับพี่คนนี้ 4 วันติดๆกันแล้ว เนื้อคู่ป่าวน้อ เหอะๆ
นอกจากจะรุ้ว่า พี่เค้าขึ้นสถานีแบริ่ง ไปลงสะพานควาย ตอนนี้รู้แล้วว่าเล่นกีต้าร์ ฟังเพลง Classic Rock และคงทำงานธุรกิจอะไรซักอย่าง ถึงต้องใส่สูทผูกไทด์ทุกวัน

วันจันทร์ ....ป่วย..... ฮาาาาาา

วันอังคาร เวลาเดิม มุมเดิม อิริยาบทเดิม มองไปทางขวา คนนั้นก็มุมเดิม อิริยาบทเดิม แต่เชิ้ตสีอะไรจำไม่ได้แล้ว

วันพุธ สายครับพี่น้อง วันีน้แม้แต่ 1 นาที เราก็ต้องรีบไปให้ทันแลป พอเราขึ้นมาถึงชานชาลา เราก็พุ่งตัวเข้าไปในรถ ไปยืนหอบฮั่กๆ อยู่กลางโบกี้ พอหายเหนื่อย เราก็หยิบมือถือมาเสียบหูฟังของเราตามปกติ แต่หางตาเหลือบไปเห็น สูทที่พาดแขทซ้ายใครบางคน เราเงยหน้าขึ้นมามอง
พี่พระเอกอีกละ แต่นั้นยังไม่เท่าสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสนใจกับพี่คนนี้ขึ้นมามากๆๆๆๆๆๆ เพราะว่า....
"เคสไอแพดของพี่พระเอกละคร เป็นเคสลาย The Beatles"

เราเป็นคนที่ชอบ The Beatles มากๆ มากๆ มากกกๆ พอเห็นเคสแบบนี้ อื้อหือ กระตุ้นต่อม อยากจะวิ่งราว เอาไอแพดพี่เค้าไปถอดไอแพดทิ้งแล้วเอาเคสมาใช้ ซะจริงๆ!!! แต่เหมือนพี่เค้าไม่เห็นเรา เค้าก็ก้มหน้าก้มตาจิ้มไอแพดของเค้าต่อไป จนถึงสถานีสยามที่เค้าเงยหน้ามามองหาที่นั่ง และปรากฏว่ามีที่นั่ง 3 ที่ เรานั่งซ้ายสุด เค้านั่งขวาสุด พอถึงสถานีสนามเป้า คนที่นั่งในโบกี้นั้นเหลืออยุ่ 6-7 คน เราเอี้ยวตัวไปมองม้า พอดีกับเพลงในไอโฟนเราเล่นเพลง  A Horse with no name ของวง America  เราเลยทนไม่ไหว อาการคลั่งม้าของเราต้องได้รับการปลดปล่อย เราเลยร้องเพลงออกมาเบาๆ

I've been through the desert on a horse with no name cause it felt good to be out of the rain
In the desert, You can't remember your name cause there ain't no one for to give you no pain
ลา ล้า ลา หละ ลา ลา หล่า ละ ลา ล้า ลา

พอม้าพ้นสายตา เราก็กลับมานั่งที่เรียบร้อย แต่เมื่อมองไปทางขวา พี่พระเอกละครกำลังมองเราอยู่ และถอดหูฟังออกข้างนึง
เค้ามองเรา ....เราก็มองเค้า แล้วอยุ่ๆ เราสองคนก็ยิ้มให้กันครั้งแรก หลังจากที่เจอหน้ากันมาทุกวัน เกือบ1 อาทิตย์ พอใกล้ๆจะถึงสะพานควาย เราก็ยังคงนั่งกันอยู่คนละฟากที่นั่ง เราหยิบมือถือขึ้นมาเปลี่ยนเพลง เราอยากฟัง The Beatles ก็เลยเลื่อนเพลงในอัลบั้ม  Help ไปเรื่อยๆ
เสียงบนรถไฟฟ้าประกาว่า สถานีต่อไป สะพานควาย เราก็เงยหน้าขึ้นมามองไปทางขวา เพราะคิดว่าพี่เค้าจะลงแล้ว อ้าว....หายไปไหนแล้ว
เราหันหน้ามามองตรง พี่พระเอกละครกำลังยืนค้ำหัวมองเราอยู่ เค้ามองมือถือเรา ที่เป็นหน้าปก The Beatles - Help แล้วยิ้ม
ก่อนจะเอียงมือซ้ายที่พาดสูทมาให้เราดู

หน้าจอไอแพดของพี่เค้า ก็เป้นหน้าปกอัลบั้ม Help เพลง I've just seen the face กำลังเล่นอยู่
เรายิ้ม เค้าก็ยิ้ม  เพราะเนื้อเพลงมันร้องว่า

I've just seen a face,
I can't forget the time or place
Where we just met, she's just the girl for me
And I want all the world to see we've met

Had it been another day
I might have looked the other way
And I'd have never been aware
But as it is I dream of her tonight

Falling, yes I am falling
And she keeps calling me back again

ณ ตอนนั้นเลย เรารู้สึกชอบพี่ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่แล้วอะ

วันพฤหัส ศุกร์ เราก็เจอกันที่มุมเดิม เวลาเดิม อิริยาบทเดิมๆ แต่ต่างกันตรงที่ พอเราเงยหน้าขึ้นมา แล้วสบตากันคราวนี้ไม่มองผ่านๆ เรายิ้มให้กันบ้างแล้ว ถึงกระนั้นพอขึ้นรถไฟฟ้าก็ยืนแยกกันอยู่ดี นานๆที เราถึงจะได้กลิ่นน้ำหอมของพี่เค้าโชยมาให้รู้ว่าอยุ่ในระยะ1 เมตรบ้าง
พอวันจันทร์ถัดมา เราก็ไม่เจอพี่เค้า วันอังคารก็ไม่เจอ วันพุธ ก็ไม่เจอ คืออาทิตย์นั้นไม่เจอเลย  เราคิดว่า ก็คงไม่เจอกันแล้วมั๊ง แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะชื่อก็ไม่รู้จัก ต่อให้อยู่ใกล้กันวันละชม. นิดๆ ก็มองหน้ากัน ไม่ถึง 4-5 นาที จนวันพุธอีกครั้ง เราไม่มีเรียนวันนี้แต่ก็ต้องไปมหาลัยแต่เช้าอยู่ดี เราเลยแต่งตัวตามสบาย ปล่อยผมให้หัวยุ่ง ใส่หมวกกับแว่นตา ล้วมายืนรอรถไฟฟ้าที่มุมเดิม เราเอาหูฟังเสียบหู เปิดเพลงแล้วก็เงยหน้า มองขวา อ้าว....พี่พระเอกละคร!!

แต่คราวนี้พี่เค้าไม่ได้ก้มหน้าจิ้มไอแพดเหมือนทุกทีแหะ เค้าเงยหน้า ซันซ้ายหันขวา มองนู้นมองนี่ ลุกลิกๆ สงสัยรีบมั๊ง เราก็ไม่คิดอะไร
พอเราขึ้นรถไฟฟ้า เราก็นั่งลงมุมประจำ แล้วพี่เค้าก็ยืนอยู่ข้างหน้าเราพอดี ก็ยังหันไปมองซ้ายมองขวา ลุกลิกๆเหมือนหนีเจ้าหนี้ เราก็ไม่ได้สนใจอะไร จนถึงป้ายสยาม พี่เค้าก็มานั่งเว้นจากเราไป 1 เบาะ แล้วก็ก้มลงจิ้มไปแพดไปตลอดทาง

จนกระทั่งถึงสนามเป้า เราก็เอี้ยวตัวไปดูม้า ปรากฏว่า พี่เค้าก็เอี้ยวไปมองนอกหน้าต่างเหมือนกัน (ฮาาาาาาาาาาาา)
เราเลยหันมามองเค้า เค้าก็มองเรางงๆ เราเลยนึกขึ้นได้ว่าเรา Undercover ไม่ได้ใส่ชุดนิสิต แถมแว่นกันแดด กับหมวก แล้วยังปล่อยผมอีกตังหาก
เราเลยถอดแว่นออกแล้วยิ้มให้เค้า เค้าก็ยิ้มให้ แล้วเขยิบมานั่งข้างๆเรา

ตอนนั้นเรานึกในใจ เอิ่ม จะทักทายไงดีว๊ะ Hello how are you today? จะเสร่อมั๊ย
"ไม่มีเรียนหรอครับ" อ้าว คนไทยนี่หว่า (ดีนะ ไม่ทักเค้าไปก่อน ไม่งั้นหละยับ...หน้าแตกยับเยิน)
เราเลยได้คุยกัน ถามชื่อ แล้วก็คุยเรื่องเพลง พี่เค้าชื่อพี่ที เปนคนเหนือ ชอบฟังเพลง Classic Rock และเพลง 60 70 80 เหมือนๆกับเรา
ทำงานเป็นด้านกฏหมาย แล้วก็กำลังเรียนโทอยู่ นี่เค้าลงมาทำธุระเล็กๆน้อยๆ แล้วก็กำลังจะกลับแล้วพรุ่งนี้ เค้าบอกว่ากำลังคิดอยู่พอดีว่าจะไม่เจอเราแล้วมั๊ง เค้าอยากรู้จักเพราะเค้
ความคิดเห็นที่ 18
เมื่อปีที่แล้วช่วงกุมภา ตอนขึ้น MRT กำลังจะไปสอบ นั่งท่องสคริปข้อสอบคอนเวอ(เป็นภาษาญี่ปู่น)อยู่ จู่ๆผู้ชายคนที่นั่งข้างๆก็ทัก
เค้าถามว่าขอดูสคริปที่ท่องได้มั้ย เค้าเป็นคนญี่ปุ่น เราก็เลยยื่นให้ดู แล้วเค้าก็ขอเบอร์เราไป
ก็ไลน์คุยกัน ไปๆมาๆ ก็เป็นแฟนกันมาจนถึงทุกวันนี้ หัวเราะ
ความคิดเห็นที่ 19
ชั่วโมงต้องมนต์บนบีทีเอส
ความคิดเห็นที่ 1
ยังเลย มีแต่ประสบการณ์ ซื้อหุ้น BTS แล้วดอยอยู่ตอนนี้
ความคิดเห็นที่ 41
เคยเจอเหตุการณ์หนึ่งจนเป็นแรงบันดาลใจให้ผมทำหนังสั้นขึ้นมา แต่สุดท้ายกลับกลายเป็น MV "โอมจงเงย" แทน เพราะหนังสั้นที่ผมทำดันไปตรงกับเนื้อเพลงของพี่แสตมป์เข้าพอดี ผมก็เลยลองนำมาตัดต่อเป็น MV ดู ตอนนั่งทำไปก็คิดถึงเหตุการณ์วันนั้นอยู่เรื่อยๆ นั่งตัดต่อ 7 วัน 7 คืน บางวันก็ทำจนไม่ได้นอน สุดท้าย พอทำเสร็จก็อัพโหลดขึ้นยูทูป ไม่รู้ว่าเธอคนนั้นจะได้ดูบ้างหรือเปล่า... แต่อย่างน้อยงานนี้ก็ทำให้ผมได้รู้สึกว่า เราได้ระบายความรู้สึกส่วนหนึ่งออกมาเป็นหนังสั้นให้คนอื่นได้ดูบ้างแล้ว โล่งใจขึ้นเยอะครับ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่