รู้สึกเศร้ามากเมื่อได้รับการกดดันให้พยายามลาออกจากงานเอง ท่านใดเคยมีประสบการณ์รับมือกันอย่างไร

ปกติจะเป็นสมาชิกของพันทิปแบบยืนยันตัวตนผ่านบัตรประชาชนประจำอยู่แล้ว แต่วันนี้ขอมาใช้ไอดีนี้ที่เพิ่งสร้างขึ้นมา เพราะไม่สะดวกใจที่จะใช้ไอดีตัวเอง ขออนุญาติพื้นที่ ณ แห่งนี้ แบ่งปันเรื่องราว และขอคำแนะนำจากเพื่อนๆ ทุกๆ ท่าน

**หากแม้นว่า เจ้านายได้เข้ามาอ่านแล้วพบเจอประทู้นี้ ทำให้ท่านไม่พอใจ ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

คือตัวเองเป็นคนทำงานคนนึงที่เคยคิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้ที่ทำงานที่เข้าใจ ใส่ใจ และห่วงใยพนักงาน ถึงแม้ค่าตอบแทนจะไม่ได้มากมายเท่าที่อื่น แต่ก็ทำมาเข้าปีที่ 5 ตลอดเวลาที่ผ่านมาตัวเองคิดว่าตัวเองทำงานด้วยใจมาตลอด เต็มที่กับทุกงาน อาจจะมีบ้างบางงานที่ไม่ชอบ แต่ก็ทำ อาจจะมีบ้างที่บ่น แต่ก็ทำ ไม่ว่าจะงานเล็ก งานใหญ่ งานที่ได้เครดิต หรืองานที่ทำแล้วคนอื่นได้เครดิต งานที่ตัวเองทำแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเราทำ เพราะเหตุความจำเป็นบางอย่าง เราก็ยังทำ และทำด้วยใจจริงๆ ค่ะ บางงานทำถึงตี 2-3 บางงานต้องเอากลับมาทำที่บ้าน หรือเสาร์-อาทิตย์ ไม่เคยได้ โอที และเราเองก็ไม่เคยถามไม่เคยขอ นำคอมพิวเตอร์ตัวเองไปทำงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยได้ค่าสึกหรอ เราเองก็ไม่เคยร้องขออีกเช่นกัน

เริ่มแรกเราทำงานในฐานะฟรีแลนซ์ ในระยะเวลาที่คุยกันไว้คือ 2 เดือน เมื่อเข้ากลางเดือนที่ 2 อยู่ดีๆ พนักงานของบริษัทก็ลาออกกันหมด คือบริษัทที่เราทำไม่ได้ใหญ่โต มีพนักงานตอนนั้นก็ประมาณ 5-6 คน เมื่อทุกคนลาออกแต่สัญญางานเรายังไม่หมด เราก็ยังคงทำต่อไป ไม่ได้มีผลกับเราแต่อย่างใด เมื่อครบกำหนด 2 เดือน ตามที่คุยกันไว้ พี่เจ้านายก็คุยกับเราประมาณว่าชวนเราทำงานด้วยกันอยู่ต่อ เราเห็นว่าเค้าก็โอเค แล้วเราเองก็ยังไม่ได้มีโปรแกรมที่จะไปทำงานอะไรที่ไหน เพราะถ้าพี่เค้าไม่ชวน เราก็คงกลับมาทำงานเป็นฟรีแลนซ์เหมือนเดิม

แต่เนื่องจาก บริษัท เป็นโฮมออฟฟิต แล้วเจ้านายเป็นผู้ชาย เราเป็นผู้หญิง มันก็อาจจะแลดูไม่ดีหากจะทำงานกัน 2 คน เราก็คิดว่าพี่เค้าคงจะคิดอย่างนี้ พี่เค้าก็ใจดีมากเสนอให้เราเข้าทำงานที่ออฟฟิตแค่อาทิตย์ละ 2 วัน ซึ่งเราเองก็โอเค เพราะการเดินทางตอนนั้นมันก็ลำบากสำหรับเรา เนื่องจากต้องต่อรถหลายต่อ และเรายังติดกับชีวิตที่เป็นอิสระ เราก็ทำงานอย่างนี้มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง พี่เค้าก็ชวนให้เราเข้าประกันสังคม เป็นพนักงานกับบริษัท ซึ่งแรกๆ เองเราก็ปฏิเสธ เพราะเราเองเป็นคนค่อนข้างงก และเสียดายตังค์ ยอมรับค่ะ แต่พี่เค้าก็ไม่ละความพยายาม ก็ยังคงพยายามชวนเราเข้าประกันสังคมอีก 2-3 ครั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่บังเอิญเราเริ่มเป็นภูมิแพ้ และต้องไปรักษาตัวตามหมอนัดอยู่บ่อยๆ ซึ่งก็เสียเงินค่ารักษาหลายบาทเราจึงเล็งเห็นความสำคัญ และที่สุดเราก็ให้พี่เค้าทำประกันสังคมให้

แต่การทำงานก็ยังคงเหมือนเดิมคือเราเข้าไปที่ออฟฟิตอาทิตย์ละ 2 วัน ไปคุยงานกัน ส่งงานให้ดู อะไรทำนองนี้ อาจจะมีบางช่วงที่งานเร่งก็อาจจะต้องเข้าออฟฟิตบ่อยกว่าปกติ เราก็ไปค่ะ เพราะคิดว่าก็คืองาน เราเองก็อยากให้งานเสร็จ อยากให้งานออกมาดีที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้ ทำงานมาสักพักแฟนเราชวนซื้อบ้าน ตอนแรกอยู่คอนโดค่ะ แล้วก็เลี้ยงน้องหมาด้วย แฟนชวนซื้อบ้านเพื่อที่จะได้มีพื้นที่ให้น้องหมาอยู่เป็นสัดส่วน และอยากให้เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น เพื่อโรคภูมิแพ้จะได้ดีขึ้น เราก็เห็นด้วยจึงทำเรื่องซื้อบ้านกัน และก็ยังทำงานที่บ้าน 3 วัน ไปทำงานที่ออฟฟิต 2 วัน ซึ่งก็ยังคงทำงานกัน 2 คนเรื่อยมาเข้าปีที่ 3 เป็นช่วงที่น้ำท่วมในปี 54 และบ้านที่เราเพิ่งซื้อก็โดนน้ำท่วม เราจำเป็นต้องย้ายไปที่ ต่างจังหวัด แต่เราเองก็เกรงใจพี่เค้า เราก็เลยซื้อแอร์การ์ดเพื่อที่จะได้ทำงานและส่งงานให้พี่เค้าได้ จนกระทั่งน้ำยุบ เราก็กลับเข้ามาอยู่ที่บ้านและยังคงทำงานอยู่

บางงานเป็นงานที่ตอนเข้ามาครั้งแรก พี่เค้าพูดกับเราว่าจะไม่ให้เราทำ เพราะเราตัวเราเองมีปมบางอย่างกับงานตัวนั้น คือเราเคยทำงานอยู่บริษัทก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของงานนี้ และเราได้ลาออกมา พี่เค้าชวนเราเข้าทำงาน แต่ไม่สามารถจะบอกบริษัทเก่าที่เราเคยทำได้ แต่สุดท้ายเมื่อพนักงานเค้าออกไปหมด พี่เค้าจึงพูดกับเราให้ทำงานนี้ให้ เราเองก็ไม่ได้อคติ เราก็ทำงานให้มาทุกปี ซึ่งเวลาที่พี่เค้าต้องไปประชุมเค้าก็จะต้องนำตัวคนอื่นไปแทนเรา เป็นหน้าม้า ว่าคนนี้นะเป็นคนทำงานนี้ ซึ่งเราเองก็โอเคที่จะอยู่ในฐานะเบื้องหลังที่ไม่มีตัวตนในตรงส่วนนี้เราเองเข้าใจพี่เค้าก็คงลำบากใจ แต่ในเมื่อจ่ายเงินเราเป็นรายเดือน แล้วจะไปจ้างคนอื่นเพียงเพื่อทำงานนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง อาจจะมีจ้างมาช่วย แต่ก็หลักๆ ให้เราทำ

หลังจากน้ำยุบเราย้ายเข้ามาอยู่บ้านและทำงานกับพี่เค้าเหมือนเดิม คือ เข้าออฟฟิตอาทิตย์ละ 2 วัน แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตของเรา ทำให้เราเป็นโรคที่ต้องไปโรงพยาบาลอีกครั้ง (โรคภูมิแพ้ดีขึ้นแล้ว) เราเข้ารักษาในแผนกจิตเวชของโรงพยาบาลประกันสังคมที่เราสังกัดอยู่ และยังต้องไปประจำ จนทุกวันนี้ คุณหมอยังต้องนัดไป เดือนละครั้ง หรือ 2 เดือนครั้ง แล้วแต่การพิจารณาของหมอ ทุกครั้งที่หมอนัด เราก็จะขอพี่เค้าออกมาก่อนเวลาหมอนัดประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อการเดินทางและมารอตามที่นัด ไม่เคยหยุดลาทั้งวัน และทุกครั้งเราไม่เคยขอใบรับรองแพทย์ เพราะคิดว่าพี่เค้าก็คงไม่ได้คิดอะไรมาก คงไม่คิดว่าเราโกหก เพราะเราก็ไปพบแพทย์ประจำจริงๆ และบางครั้งที่เราป่วยเป็นโรคอื่นๆ ทั่วไป เช่น ไข้ หรือหวัด ปวดหัวตัวร้อน ที่ต้องไปหาหมอ เราก็ไปหาหมอ แล้วก็ไม่เคยขอใบรับรองแพทย์ แต่ช่วงหลังๆ เรารู้สึกแปลกๆ กับคำพูดบางคำของพี่เค้า เมื่อต้องไปหาหมอเราจะพยายามขอใบรับรองแพทย์ และถ่ายรูปส่งไปให้

ขอวกกลับไปปีน้ำท่วม หลังน้ำท่วม เรามีรายจ่ายที่ต้องจ่ายเยอะมาก เราจึงคิดหาวิธีทำงานเพิ่มเติม ด้วยการขายของออนไลน์ ซึ่งรายได้ก็เป็นไปได้ดีในช่วงแรกๆ ทำให้ในบ้านของเราดีขึ้น และเราก็ยังคงทำงานกับพี่เขา พยายามไม่ให้กระทบงานพี่เขา พยายามทำงานให้เสร็จให้ทันเวลา ทุกอย่างที่เราทำ เราจะพูดให้พี่เค้าฟังเสมอ เพราะคิดว่าเราถือใจซื่อไม่ได้ปิดบัง เราขายของและแฟนเราเป็นคนส่งสินค้าเพราะที่ทำงานอยู่ใกล้ไปรษณีย์ มันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านมาถึงช่วงปลายปี เราก็ได้รักษาทางจิตเวชมาพักนึงแล้ว แต่อาการมันแย่ขึ้นจนกระทั่งเรารู้ตัวเองว่าเราไม่มีสมาธิมากพอที่จะทำงาน งานสุดท้ายที่เราทำ เราทำอยู่ยันเช้า และคุยโทรศัพท์กับเจ้านายตลอดเพื่อรายงานความคืบหน้าของงาน คุยกันจนตี 2 เราทำงานไปร้องไห้ไป เพราะมันรู้สึกกดดันตัวเองที่ต้องทำงาน ในขณะที่สภาพจิตเราตอนนั้นไม่สามารถจะทำได้ เราทรมาณมาก ทำไปร้องไห้ไป แต่ก็ทำจนเสร็จยันเช้า ด้วยความคิดว่าเราต้องรับผิดชอบทำงานออกมาให้ได้และดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะต้องไปพรีเซ้นต์งานลูกค้าในรุ่งเช้าจึงจำเป็นที่เราต้องทำจริงๆ เมื่องานผ่านพ้นไป เราก็คุยกับพี่เค้าก่อนหน้านั้นแล้วว่า เราคิดจะหยุดพัก อยากจะลาออกมาอยู่บ้าน หาอะไรทำเล็กๆ น้อยๆ ไป พี่เค้าก็ไม่ได้รั้งอะไรเราไว้ เดือนนั้นเราทำงานถึงครึ่งเดือน แล้วสิ้นเดือนพี่เค้าก็โอนเงินเดือนให้ครึ่งเดือน

เราอยู่มา 3-4 เดือน ก็ยังคงไปหาหมอตามนัด และได้คุยกับหมอว่าเราไม่ได้ทำงานประจำแล้ว คุณหมอแนะนำให้เรากลับไปทำงานประจำ แบบที่ไปประจำทุกวัน เพื่อให้เราปรับตัวเองในการอยู่กับคนอื่นๆ ได้อีกครั้ง ซึ่งเราเองก็ทำตาม ไปสมัครงานและได้งานทำที่หนึ่ง แต่เราทำมาสักพักรู้สึกว่ามันไม่ใช่ จึงได้ลาออกและคิดว่าจะหางานใหม่ใกล้ๆ บ้าน ที่เป็นงานที่อาจจะอยู่ในสายงานเดิมแต่อาจจะเป็นงานที่ความรับผิดชอบน้อยลง ซึ่งเงินเดือนจะน้อยลงเราก็โอเค และวันนั้นเราได้เข้าไปเอาใบ ทวิ 50 ที่บริษัทพี่เค้าที่เราลาออกมา เพื่อจะเอามายื่นภาษี และวันนั้นพี่เค้าพอทราบว่าเราลาออกจากงานที่ใหม่ ก็ชวนเราให้กลับมาทำงานด้วยอีกครั้ง ซึ่งเราเองใช้เวลาคิดไม่นานเลย และยินดีมาก เพราะอย่างน้อยเราก็ทำงานกับพี่เค้ามานานและก็คุ้นเคย แต่การทำงานครั้งนี้เป็นการทำงานที่ต้องมาทุกวัน ซึ่งเราก็โอเค ( ณ ตอนนั้นเราซื้อรถใหม่ จึงสะดวกในการเดินทาง) และเราก็ได้มาเริ่มงานเมื่อต้นเดือนถัดมา

แล้วในครั้งนี้พี่เค้าก็รับพนักงานมาเพิ่มอีก 2 คน เพราะงานใหญ่งานเดิมที่เราเป็นได้แค่เงา กำลังจะเข้ามา จำเป็นต้องมีพนักงานมาอยู่ที่ออฟฟิตประจำในแต่ละหน้าที่ ซึ่งในส่วนเราก็เหมือนเดิม ทำงาน และบางวันงานเร่งมากขนาดที่เราทำดึกสุด ตี 3 และแฟนเราก็ไปนอนเฝ้ารอ เพื่อกลับบ้านเป็นเพื่อน บางคืนก็เที่ยงคืน บางครั้งก็ไปทำเสาร์อาทิตย์ บางอาทิตย์เราก็ทำงาน 7 วัน ดึกๆ ซึ่งเราก็ยังทำ จนงานเสร็จ เริ่มงานเริ่มโครงการ จนจบโครงการไปของปีนี้ มีอยู่ครั้งหนึ่งเราป่วยโดนไม่ทราบสาเหตุว่าเป็นอะไร ป่วยขนาดที่ว่าไม่สามารถไปทำงานได้ เราฝืนไปวันหนึ่ง แต่เรานั่งสั่นจนต้องฟุบกับโต๊ะ เราจึงไปหาหมอ หมอเจาะเลือดไปตรวจและจะให้เรานอนที่ โรงพยาบาล แต่ด้วยเราค่อนข้างรั้น และบ้านเราอยู่ไม่ไกล โรงพยาบาล อาการป่วยที่เราเป็นคือ อยู่ดีๆ ไข้จะขึ้น วัดได้สูงสุด 40 องศา แล้วก็จะหนาวสั่น ประมาณ 2-3 ชั่วโมงอาการจะหายไป หมอนัดให้ไปเจาะเลือดตรวจทุกวัน เพราะตรวจไม่เจออะไรเลย จนอยู่ดีๆ มันหยุดไปเอง เราดีขึ้นก็ไปทำงานปกติ

จนกระทั่งสิ้นปี พี่เค้าเรียกประชุม แล้วพูดเกี่ยวกับระบบการทำงาน อยากให้บริษัทเป็นระบบมากขึ้น พูดถึงวันลาพักร้อนว่ามีนะ แต่ไม่เคยเห็นใครลา เค้าก็บอกว่า ลาได้นะ มีวันลาพักร้อน ลากิจ ลาป่วยได้เหมือนที่อื่นๆ และมอบหมายให้เพื่อนร่วมงานอีกคนทำเรื่องเอกสารต่างๆ ซึ่งเราเองก็ดีใจมาก เพราะเราไม่เคยลาพักร้อนเลยที่ผ่านมา เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เราจึงขอพี่เค้าลาพักร้อน 3 วัน เพื่อที่เราจะกลับบ้านต่างจังหวัดหาพ่อกับแม่ ไม่ได้แพลนอะไรเป็นพิเศษ เราแค่อยากกลับไปอยู่บ้านกับท่าน แต่ขณะที่เรากำลังเตรียมตัวจะไป งานมีปัญหานิดหน่อยพี่เค้าก็โทรมา เราก็เลยเข้าไปที่ออฟฟิตและแก้ไข และเป็นอยู่อย่างนี้ 2 วัน เราจึงบอกพี่เขาว่าวันที่เราเข้ามาทำงานนี้ เราขอเอาวันลาพักร้อนเลื่อนไปเป็นอาทิตย์หน้าแทนได้ไหม 2 วันที่เราเข้าทำงาน พี่เขาก็ตอบ อือๆ ซึ่งเราก็หยุดต่อเนื่อง เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร แต่เราไม่ได้กลับบ้านค่ะ เนื่องจากเราเป็นไข้หวัดใหญ่ ติดจากแฟนมา จึงไปหาหมอขอใบรับรองแพทย์ไว้ และพักผ่อนอยู่ที่บ้าน พอวันพุธ ก็ไปทำงานปกติ โดยที่ก็ยังไม่ได้หายค่ะ แต่เราไม่ได้ลาต่อ เพราะคิดว่าน่าจะทำได้

และอาทิตย์ต่อมา เรายังไอไม่หาย เราทรมาณจากการไอ วันจันทร์หลังจากกลับจากทำงาน ก็เลยไปหาหมออีก หมอให้ใบรับรองแพทย์มา วันอังคารเช้าเราก็ไลน์ไปบอกพี่เค้าว่าเราไม่ไหว ขอลาป่วย และถ่ายรูปใบรับรองแพทย์ส่งไปให้ และเมื่อถึงวันที่เราต้องไปทำงาน พี่เค้าเรียกคุยกันแต่เช้าทุกคนเมื่อมาพร้อมกัน ตอนนี้ออฟฟิตเรามีพนักงาน 3 คน เจ้านาย 1 เป็น 4 ค่ะ แล้วพี่เค้าก็บอกให้พนักงานอีก 2 คน ที่ไม่ใช่เรา ว่าให้หยุดทำงาน (ซึ่งพูดตรงๆ ก็คือเชิญออกนั่นเอง) แต่ให้ทำงานแค่ถึงกลางเดือนซึ่งก็คือวันนั้นเอง แต่พี่เค้าจะจ่ายเงินเดือนให้เต็มเดือน 2 คนนั้นออกไปจากบริษัทในตอนเช้าแบบ งงๆ แกมโมโห พี่เค้าก็ถามเราว่ามีผลกระทบอะไรกับเราไหม เราก็บอกไม่เป็นไรเราเคยทำงานกับพี่เค้า 2 คน เราทำได้เหมือนเดิมค่ะ

จากวันนั้นถึงวันนี้ เรายังไอ จนเป็นเลือด วันหนึ่งเราเหนื่อยมากเพราะไอทั้งคืนไม่ได้นอน แล้วอีกอย่างตอนนี้ส่วนของเราก็ไม่ค่อยมีอะไรเร่ง อีกทั้งพี่เค้ารับน้องที่กำลังจบ ม.6 มาทำงานโดยจ่ายเป็นรายอาทิตย์ เราก็คิดว่าพี่เค้าก็มีเพื่อนทำงาน และคิดเข้าข้างตัวเองแบบโง่ๆ ว่าเค้าคงจะเข้าใจ เนื่องจากสภาวะทางจิตใจเราก็แย่ลง และไอจนเป็นเลือดอย่างที่กล่าวไว้ ในวันที่ 5 มีนา ที่ผ่านมาเราจึงเดินเข้าไปคุยกับพี่เค้าว่า จะเป็นไปได้ไหมคะถ้าเราจะขอลาหยุดสักพัก พี่เค้าก็ถามว่านานแค่ไหน เราบอกอาจจะอาทิตย์ สองอาทิตย์ หรือเดือน แต่เราไม่ขอรับเงินเดือน พี่เค้าก็ถามเหตุผล เราก็บอกว่าเราไอจนเหนื่อย บวกกับโรคซึมเศร้าที่เราเป็น มันทำให้ไม่ได้หลับไม่ได้นอน พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายเราย่ำแย่มาก เราจึงอยากหยุดพักร่างกายและจิตใจ และเห็นว่าช่วงนี้งานไม่ค่อยมีอะไรเร่ง งานใหญ่ๆ เราปิดให้หมดแล้ว รอแต่เช็คจากลูกค้า
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ยาวมากก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่