ด้วยสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม "กัมมุนา วัตตติโลโก" ความทุกข์มากหรือน้อยย่อมปรากฏกับสัตว์นั้น เป็นธรรมดา แต่ผู้ที่เห็นแจ้งด้วยปัญญา ในทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และวิธีดับทุกข์ หรือ อริยสัจ 4 นั้นน้อยเสียเหลือเกิน ก็ด้วยความเพลิน ความหวังที่จะมีจะเป็น หรือไม่อยากมีไม่อยากเป็น เพราะความไม่รู้ นั้นเอง.
สำหรับผู้ศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมตามธรรมพระพุทธเจ้า ที่ได้ชื่อว่า บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ ที่ทำให้แจ้งในอริยสัจ 4 เมื่อประสบทุกข์ก็ต่างกันดังในพระไตรปิฏกเล่มที่ 21 นี้.
------------------------------------------
ปโตทสูตร
[๑๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก ๔
จำพวกเป็นไฉน คือ ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ พอเห็นเงาปะฏักเข้าก็ย่อมสลด ถึง
ความสังเวชว่า วันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนยตัว
เจริญที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
อีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปะฏักแล้วย่อมไม่สลด
ไม่ถึงความสังเวชเลยทีเดียว แต่เมื่อถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนจึงสลด ถึงความสังเวชว่า วันนี้
นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอเราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้า
อาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนยตัวเจริญที่ ๒ มีปรากฏอยู่ใน
โลก ฯ
อีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปะฏักแล้วย่อมไม่สลด
ไม่ถึงความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนก็ไม่สลดไม่ถึงความสังเวช แต่เมื่อถูกแทงด้วย
ปะฏักถึงผิวหนังจึงสลด ถึงความสังเวชว่าวันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจัก
ตอบแทนแก่เขาอย่างไรดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี
นี้เป็นม้าอาชาไนยตัวเจริญที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
อีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปะฏักก็ไม่สลด ไม่ถึง
ความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนก็ไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปะฏักถึง
ผิวหนังก็ไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช แต่เมื่อถูกแทงด้วยปะฏักถึงกระดูก จึงสังเวช ถึงความสลด
ว่า วันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนยตัวเจริญที่ ๔ มี
ปรากฏอยู่ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ๔ จำพวกนี้แลมีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ ๔ จำพวก มีปรากฏอยู่ในโลกฉันนั้นเหมือน
กัน ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ได้ฟังว่า ในบ้านหรือในนิคมโน้น
มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยาเขาย่อมสลด ถึงความสังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้
สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วย
นามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ม้าอาชาไนยตัวเจริญพอเห็นเงาปะฏักย่อมสลดถึงความ
สังเวช แม้ฉันใด เรากล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้นดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนย
ผู้เจริญบางคนในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มีนี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่าในบ้านหรือในนิคม
โน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา แต่เขาเห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือ
ทำกาลกิริยาเอง เขาจึงสลด ถึงความสังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้
โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยวย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอด
ด้วยปัญญาม้าอาชาไนยตัวเจริญถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนย่อมสลด ถึงความสังเวช แม้ฉันใดเรา
กล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้
แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๒ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่าในบ้านหรือในนิคม
โน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา และไม่ได้เห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือทำ
กาลกิริยาเอง แต่ญาติหรือสาโลหิตของเขาถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา เขาจึงสลด ถึงความ
สังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำ
ให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ม้าอาชาไนยตัวเจริญถูกแทง
ผิวหนังจึงสลด ถึงความสังเวช แม้ฉันใด เรากล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้น ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๓ มี
ปรากฏอยู่ในโลก ฯ
อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่าในบ้านหรือในนิคม
โน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา และไม่ได้เห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือ
ทำกาลกิริยาเอง ทั้งญาติหรือสาโลหิตของเขาก็ไม่ถึงทุกข์ หรือทำกาลกิริยา แต่เขาเองทีเดียว อัน
ทุกขเวทนาเป็นไปทางสรีระกล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ แทบจะนำชีวิตไปเสีย ถูก
ต้องแล้วเขาจึงสลด ถึงความสังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้วเริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย
มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา
ม้าอาชาไนยตัวเจริญถูกแทงด้วยปะฏักถึงกระดูก จึงสลดถึงความสังเวช แม้ฉันใด เรากล่าว
บุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้นดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ แม้
เห็นปานนี้ก็มีนี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนย
ผู้เจริญ ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
จบสูตรที่ ๓
---------------------------------------------
แต่สำหรับผมนั้น เกิดมาก็มีความทุกข์กับฐานะแห่งตนตั้งแต่เกิด เห็นหรือรู้ คนเกิด แก่ เจ็บ ตาย มามาก แม้แต่ตนเองก็เจ็บป่วย และเกือบสิ้นชีวิต ตั้งแต่วัยเด็ก ก็ไม่รู้สึกรู้สา แต่ด้วยความทุกข์ในฐานะอันต่ำต้อย นั้นทำให้ตนเองเข้าหา พุทธศาสนาตั้งแต่เด็กด้วยตนเอง พร้อมกับเมื่อโตเจิญวัยขึ้น ความทุกข์ความกดดันในฐานะขมวดกดดันยิ่งขึ้น ก็ต้วยความทะเยอทะยานแห่งตน เพื่อประสงค์ปัญญาและความรู้ทางโลกถึงขั้นปริญญา แต่ตนเองไม่มีสิทธิ์ จึงต้องศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เมื่อยามเข้าสู่ทางตันในทางโลก ก็ผ่านพ้นจากการที่เกือบจะกลายเป็นคนบ้า อย่างพี่ชายคนโตอย่างฉิวเฉียดไปได้ พร้อมทั้งเจริญด้วย สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ที่เป็นพื้นฐาน
แต่เมื่อยังมีกิเลสอยู่ก็ย่อมยังต้องทุกข์ ต้องประสบทุกข์อยู่ ไปตาม "กัมมุนา วัตตติโลโก" สัตว์โลกทั้งหลายเป็นไปตามกรรม คือทั้งกรรมใหม่ที่กระทำในปัจจุบันทั้งปัจจุบันขณะ พร้อมทั้งรับวิบากแห่งกรรมที่เคยกระทำไว้เก่าก่อน เป็นธรรมดา ผสมปนเปกันไป จนอายุจะ 52 เกิดมัจจุราชเงียบ เฉียดตาย หรือเป็นอัมพาต หรือเป็นอัมพฤต พร้อมทั้งมีธรรมที่เจริญขึ้น เพราะเห็นชัดแจ้งในทุกข์นั้น ผ่านพ้นมาได้แบบฉิวเฉียด ไม่ตาย ไม่เป็นอัมพาตหรืออัมพฤต ร่างกายก็หายเป็นปกติได้ แต่ไม่ใช่ว่าภัยนั้นจะไม่มี เพราะคำว่ากรรมและวิบากแห่งกรรมนั้นย่อมยังดำเนินอยู่ต่อไปเป็นธรรมดาของผู้มีสังขาร
ท้าวความย้อนหลังไปเมื่อผมมีอายุประมาณ 39 ปี เนื่องจากเป็นโรคท้องผู้เรื่อรัง และถ่ายเป็นเลือดบางครั้ง จึงได้เข้าทำการตรวจลำใส้ใหญ่ โดยการสวนแป้งและเอ็กสเรย์ ผลปรากฏว่าเป็นปกติ แต่เป็นริดสิดวงเล็กน้อย
แต่วันนั้นได้รู้จักกับผู้ป่วยอีกคนอายุ 40 กว่าปี ที่ตรวจวันเดียวกัน ที่มีอาการถ่ายเป็นเลือด แต่ผลที่ออกมาเขาเป็นมะเร็ง ผมเห็นหน้าเขาหลังจากรู้ผลหน้าเขาชีดมากเลย หลังทราบผล และทำให้ผมรู้ซึ่งอารมณ์ของผู้ที่ทราบผลว่าตนเองเป็นมะเร็ง เมื่อเกิดกับภรรยาผมเมื่อ ปี 2546 แต่ภรรยาเป็นระยะที่ 1 เมื่อผ่าตัดมดลูกและรังไข่หมดแล้ว ก็หายเป็นปกติ
แต่เมื่อผมอายุประมาณ 40 ปี ผมเกิดรู้ชีวิตตนเองที่จะดำเนินไปในอนาคตรุ่งเรื่องตามฐานะเป็นปีๆ ไป จนอายุ 59 ปี ความรุ่งเรื่องของชีวิตก็จะวูบลงไปเกือบหมด แต่ไม่หมดเหลือประมาณ 1 ใน 4 และยังดำเนินไปอีกประมาณ 10 กว่าปี ที่เดียวจนหมดหายสิ้นไป ก็คงอายุประมาณ 65-75 ปี.
นี้ก็อายุผมก็จะ 55 ปี แล้วร่างกายก็ยังปกติดีอยู่ รายได้ก็ยังปกติดีอยู่ จะเป็นจริงตามนั้นหรือไม่อีก 4 ปี ก็จะชัดเจน ในการเกิดการวูบลงของชีวิตเมื่อ อายุขึ้น 59 ปี แต่เ้ค้าโครงในสิ่งที่รู้เบื้องหน้านั้นกำลังปรากฏขึ้นมา ไม่รู้ด้วยบุญส่ง หรือกรรมตัดรอนตอนเกิดมัจจุราชเงิยบเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ที่ต้องให้เข้าหาหมอทุกเดือนครึ่งเพื่อรับยาลดไขมัน และแอสไปริน เพราะด้วยโรคริดสิดวง จึงชักนำให้มีการตรวจลำใหญ่อีกครั้ง ในการสวนแป้ง จึงปรากฏพบติ่งเนื้อในลำใส้ใหญ่ ขนาดประมาณ 1 เชนติเมตร
ตางรางชีวิต ตามธรรมที่ว่า "กัมมุนา วัตตติโลโก" สัตว์โลกทั้งหลายเป็นไปตามกรรม ยังพอเป็นจริงในเรื่องของผม ด้วยผมยังรังเล ว่าพ่อกับแม่ผม ท่านอายุยืน มากกว่า 80 ปี คือ 83 กับ จะ 90 ปี ผมจะอายุน้อยกว่าหรือ? ยังขัดๆ กับที่เห็นเมื่อ ผมเห็นเมื่อผมอายุ 40 ปี อยู่บ้าง.
ทุกข์มีอยู่เนืองๆ ด้วย "กัมมุนา วัตตติโลโก" สัตว์โลกทั้งหลายเป็นไปตามกรรมแต่จะเห็นแจ้งเหตุ ความดับ วิธีดับทุกข์นั้นน้อย
สำหรับผู้ศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมตามธรรมพระพุทธเจ้า ที่ได้ชื่อว่า บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ ที่ทำให้แจ้งในอริยสัจ 4 เมื่อประสบทุกข์ก็ต่างกันดังในพระไตรปิฏกเล่มที่ 21 นี้.
------------------------------------------
ปโตทสูตร
[๑๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก ๔
จำพวกเป็นไฉน คือ ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ พอเห็นเงาปะฏักเข้าก็ย่อมสลด ถึง
ความสังเวชว่า วันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนยตัว
เจริญที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
อีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปะฏักแล้วย่อมไม่สลด
ไม่ถึงความสังเวชเลยทีเดียว แต่เมื่อถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนจึงสลด ถึงความสังเวชว่า วันนี้
นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอเราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้า
อาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนยตัวเจริญที่ ๒ มีปรากฏอยู่ใน
โลก ฯ
อีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปะฏักแล้วย่อมไม่สลด
ไม่ถึงความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนก็ไม่สลดไม่ถึงความสังเวช แต่เมื่อถูกแทงด้วย
ปะฏักถึงผิวหนังจึงสลด ถึงความสังเวชว่าวันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจัก
ตอบแทนแก่เขาอย่างไรดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี
นี้เป็นม้าอาชาไนยตัวเจริญที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
อีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปะฏักก็ไม่สลด ไม่ถึง
ความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนก็ไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปะฏักถึง
ผิวหนังก็ไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช แต่เมื่อถูกแทงด้วยปะฏักถึงกระดูก จึงสังเวช ถึงความสลด
ว่า วันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนยตัวเจริญที่ ๔ มี
ปรากฏอยู่ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ๔ จำพวกนี้แลมีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ ๔ จำพวก มีปรากฏอยู่ในโลกฉันนั้นเหมือน
กัน ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ได้ฟังว่า ในบ้านหรือในนิคมโน้น
มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยาเขาย่อมสลด ถึงความสังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้
สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วย
นามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ม้าอาชาไนยตัวเจริญพอเห็นเงาปะฏักย่อมสลดถึงความ
สังเวช แม้ฉันใด เรากล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้นดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนย
ผู้เจริญบางคนในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มีนี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่าในบ้านหรือในนิคม
โน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา แต่เขาเห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือ
ทำกาลกิริยาเอง เขาจึงสลด ถึงความสังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้
โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยวย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอด
ด้วยปัญญาม้าอาชาไนยตัวเจริญถูกแทงด้วยปะฏักที่ขุมขนย่อมสลด ถึงความสังเวช แม้ฉันใดเรา
กล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้
แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๒ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่าในบ้านหรือในนิคม
โน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา และไม่ได้เห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือทำ
กาลกิริยาเอง แต่ญาติหรือสาโลหิตของเขาถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา เขาจึงสลด ถึงความ
สังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำ
ให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ม้าอาชาไนยตัวเจริญถูกแทง
ผิวหนังจึงสลด ถึงความสังเวช แม้ฉันใด เรากล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้น ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๓ มี
ปรากฏอยู่ในโลก ฯ
อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่าในบ้านหรือในนิคม
โน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา และไม่ได้เห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือ
ทำกาลกิริยาเอง ทั้งญาติหรือสาโลหิตของเขาก็ไม่ถึงทุกข์ หรือทำกาลกิริยา แต่เขาเองทีเดียว อัน
ทุกขเวทนาเป็นไปทางสรีระกล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ แทบจะนำชีวิตไปเสีย ถูก
ต้องแล้วเขาจึงสลด ถึงความสังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้วเริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย
มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา
ม้าอาชาไนยตัวเจริญถูกแทงด้วยปะฏักถึงกระดูก จึงสลดถึงความสังเวช แม้ฉันใด เรากล่าว
บุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้นดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ แม้
เห็นปานนี้ก็มีนี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนย
ผู้เจริญ ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
จบสูตรที่ ๓
---------------------------------------------
แต่สำหรับผมนั้น เกิดมาก็มีความทุกข์กับฐานะแห่งตนตั้งแต่เกิด เห็นหรือรู้ คนเกิด แก่ เจ็บ ตาย มามาก แม้แต่ตนเองก็เจ็บป่วย และเกือบสิ้นชีวิต ตั้งแต่วัยเด็ก ก็ไม่รู้สึกรู้สา แต่ด้วยความทุกข์ในฐานะอันต่ำต้อย นั้นทำให้ตนเองเข้าหา พุทธศาสนาตั้งแต่เด็กด้วยตนเอง พร้อมกับเมื่อโตเจิญวัยขึ้น ความทุกข์ความกดดันในฐานะขมวดกดดันยิ่งขึ้น ก็ต้วยความทะเยอทะยานแห่งตน เพื่อประสงค์ปัญญาและความรู้ทางโลกถึงขั้นปริญญา แต่ตนเองไม่มีสิทธิ์ จึงต้องศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เมื่อยามเข้าสู่ทางตันในทางโลก ก็ผ่านพ้นจากการที่เกือบจะกลายเป็นคนบ้า อย่างพี่ชายคนโตอย่างฉิวเฉียดไปได้ พร้อมทั้งเจริญด้วย สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ที่เป็นพื้นฐาน
แต่เมื่อยังมีกิเลสอยู่ก็ย่อมยังต้องทุกข์ ต้องประสบทุกข์อยู่ ไปตาม "กัมมุนา วัตตติโลโก" สัตว์โลกทั้งหลายเป็นไปตามกรรม คือทั้งกรรมใหม่ที่กระทำในปัจจุบันทั้งปัจจุบันขณะ พร้อมทั้งรับวิบากแห่งกรรมที่เคยกระทำไว้เก่าก่อน เป็นธรรมดา ผสมปนเปกันไป จนอายุจะ 52 เกิดมัจจุราชเงียบ เฉียดตาย หรือเป็นอัมพาต หรือเป็นอัมพฤต พร้อมทั้งมีธรรมที่เจริญขึ้น เพราะเห็นชัดแจ้งในทุกข์นั้น ผ่านพ้นมาได้แบบฉิวเฉียด ไม่ตาย ไม่เป็นอัมพาตหรืออัมพฤต ร่างกายก็หายเป็นปกติได้ แต่ไม่ใช่ว่าภัยนั้นจะไม่มี เพราะคำว่ากรรมและวิบากแห่งกรรมนั้นย่อมยังดำเนินอยู่ต่อไปเป็นธรรมดาของผู้มีสังขาร
ท้าวความย้อนหลังไปเมื่อผมมีอายุประมาณ 39 ปี เนื่องจากเป็นโรคท้องผู้เรื่อรัง และถ่ายเป็นเลือดบางครั้ง จึงได้เข้าทำการตรวจลำใส้ใหญ่ โดยการสวนแป้งและเอ็กสเรย์ ผลปรากฏว่าเป็นปกติ แต่เป็นริดสิดวงเล็กน้อย
แต่วันนั้นได้รู้จักกับผู้ป่วยอีกคนอายุ 40 กว่าปี ที่ตรวจวันเดียวกัน ที่มีอาการถ่ายเป็นเลือด แต่ผลที่ออกมาเขาเป็นมะเร็ง ผมเห็นหน้าเขาหลังจากรู้ผลหน้าเขาชีดมากเลย หลังทราบผล และทำให้ผมรู้ซึ่งอารมณ์ของผู้ที่ทราบผลว่าตนเองเป็นมะเร็ง เมื่อเกิดกับภรรยาผมเมื่อ ปี 2546 แต่ภรรยาเป็นระยะที่ 1 เมื่อผ่าตัดมดลูกและรังไข่หมดแล้ว ก็หายเป็นปกติ
แต่เมื่อผมอายุประมาณ 40 ปี ผมเกิดรู้ชีวิตตนเองที่จะดำเนินไปในอนาคตรุ่งเรื่องตามฐานะเป็นปีๆ ไป จนอายุ 59 ปี ความรุ่งเรื่องของชีวิตก็จะวูบลงไปเกือบหมด แต่ไม่หมดเหลือประมาณ 1 ใน 4 และยังดำเนินไปอีกประมาณ 10 กว่าปี ที่เดียวจนหมดหายสิ้นไป ก็คงอายุประมาณ 65-75 ปี.
นี้ก็อายุผมก็จะ 55 ปี แล้วร่างกายก็ยังปกติดีอยู่ รายได้ก็ยังปกติดีอยู่ จะเป็นจริงตามนั้นหรือไม่อีก 4 ปี ก็จะชัดเจน ในการเกิดการวูบลงของชีวิตเมื่อ อายุขึ้น 59 ปี แต่เ้ค้าโครงในสิ่งที่รู้เบื้องหน้านั้นกำลังปรากฏขึ้นมา ไม่รู้ด้วยบุญส่ง หรือกรรมตัดรอนตอนเกิดมัจจุราชเงิยบเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ที่ต้องให้เข้าหาหมอทุกเดือนครึ่งเพื่อรับยาลดไขมัน และแอสไปริน เพราะด้วยโรคริดสิดวง จึงชักนำให้มีการตรวจลำใหญ่อีกครั้ง ในการสวนแป้ง จึงปรากฏพบติ่งเนื้อในลำใส้ใหญ่ ขนาดประมาณ 1 เชนติเมตร
ตางรางชีวิต ตามธรรมที่ว่า "กัมมุนา วัตตติโลโก" สัตว์โลกทั้งหลายเป็นไปตามกรรม ยังพอเป็นจริงในเรื่องของผม ด้วยผมยังรังเล ว่าพ่อกับแม่ผม ท่านอายุยืน มากกว่า 80 ปี คือ 83 กับ จะ 90 ปี ผมจะอายุน้อยกว่าหรือ? ยังขัดๆ กับที่เห็นเมื่อ ผมเห็นเมื่อผมอายุ 40 ปี อยู่บ้าง.