ขุนเจรปล้นเมือง ๑๐ ก.พ.๕๗

กระทู้สนทนา
สามก๊กฉบับอ่านซ้ำ

ขุนโจรปล้นเมือง

"เล่าเซี่ยงชุน"

ในหน้าประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก ผู้อ่านจะได้ยินชื่อโจรก๊กหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นกลุ่มโจรที่มิได้ตีชิงปล้นทรัพย์ จากชาวบ้านชาวเมืองแบบธรรมดา แต่เป็นโจรที่จะปล้นเอาทั้งบ้านทั้งเมืองกันเลยทีเดียว โจรกลุ่มนี้มีจำนวนมากมายหลายสิบหมื่น มีลักษณะที่แปลกไปกว่าชายชาวจีนในสมัยนั้นก็คือ ไม่เกล้ามวยผม แต่กลับปล่อยผมยาวให้กระจายอยู่ตามไหล่ เพียงแต่ใช้ผ้าสีเหลืองคาดศีรษะไว้เท่านั้น จึงมีสมญานามว่าโจรโพกผ้าเหลือง โจรก๊กนี้มีอิทธิพลแผ่กระจายออกไป ครอบคลุมประชาชนถึงแปดหัวเมือง หัวหน้าใหญ่มีสามคนพี่น้อง คนโตชื่อ เตียวก๊ก คนรองชื่อ เตียวโป้ และคนสุดท้องชื่อ เตียวเหลียง

ขณะนั้นเป็นรัชสมัยของ พระเจ้าเลนเต้ ซึ่งได้ครองราชสมบัติมาแล้วประมาณสิบห้าปี พี่น้องทั้งสามอาศัยอยู่ในเมืองกิลกกุ๋น วันหนึ่งพี่ชายใหญ่เดินทางไปเที่ยวหายาบนภูเขา พบชายแก่คนหนึ่งผิวหน้าอ่อนดังทารก ตาเหลืองเหมือนตาเสือ มือถือไม้เท้า พาเตียวก๊กเข้าไปในถ้ำ แล้วมอบตำราให้สามฉบับ ให้เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ สำหรับช่วยเหลือคนทั้งปวงให้อยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าคิดร้ายมิซื่อตรงต่อแผ่นดินแล้ว จะมีภัยอันตรายมาถึงตัว เตียวก๊กก็กราบไหว้รับเอาตำรานั้นมาศึกษาที่บ้านทั้งกลางวันกลางคืน จนมีความรู้กว้างขวาง จึงตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ เรียกว่า โต๋หยิน

พอดีปีนั้นมีโรคห่าระบาดใหญ่ในเมืองกิลกกุ๋น ชาวเมืองเจ็บไข้ได้ป่วยกันแทบจะทุกหลังคาเรือน เตียวก๊กจึงเขียนเลขยันต์ตามตำรา แจกให้ชาวเมืองเก็บไว้รักษาก็หายไข้ มีคนนับถือเลื่อมใสมาสมัครเป็นลูกศิษย์ ให้สั่งสอนวิชาประมาณร้อยเศษ เตียวก๊กก็ตระเวนเดินทาง ไปรักษาคนไข้ตามหัวเมืองใหญ่น้อยต่าง ๆ ผู้คนก็นับถือเพิ่มมากขึ้นทุกที จนมีศิษย์เอกที่ตั้งให้เป็นนายบ้านตามตำบลต่าง ๆ ทั่วไป ตำบลใหญ่ก็มีคนอยู่ประมาณหมื่นเศษ ตำบลน้อยก็ประมาณหกเจ็ดพัน จัดเป็นหมวดหมู่มีธงบอกยี่ห้อรวมถึงสามสิบตำบล

เตียวก๊กก็เริ่มตั้งตัวเป็นใหญ่ โดยปล่อยข่าวออกไปให้ลือกันว่า บัดนี้แผ่นดินแปร ปรวนไปแล้ว เพราะพระเจ้าเลนเต้หลงเชื่อขันทียุยง ประพฤติผิดประเพณีไป จึงเกิดผู้มีบุญมาครองแผ่นดินใหม่ ให้บ้านเมืองเป็นสุข แล้วเตียวก๊กก็ให้เขียนอักษรไว้ที่หน้าประตูบ้านว่า ปีชวดบ้านเมืองจะเป็นสุข ชาวบ้านก็พากันทำตาม และภายในบ้านก็เขียนชื่อเตียวก๊กไว้บูชากันทั่วทุกบ้าน แพร่หลายไปถึง เมืองเฉงจิ๋ว เมืองอิวจิ๋ว เมืองชิวจิ๋ว เมืองยังจิ๋ว เมืองกุนจิ๋ว และ เมืองอิจิ๋ว

จากนั้นเตียวก๊กก็ดำเนินการตามแผนขั้นต่อไป โดยให้ ม้าอ้วนยี่ ลิ่วล้อคนหนึ่ง นำเงินทองของกำนัลไปให้ขันที ชื่อ ฮองสี ที่อยู่ในวัง ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ในเมืองหลวง แล้วก็ร่วมมือกับน้องชายทั้งสอง ซ่องสุมทหารและเครื่องศาสตราวุธไว้อย่างพร้อมเพรียง จนเห็นว่า

"...บัดนี้ชาวเมืองทั้งแปด ก็รักใคร่นับถืออยู่ในโอวาทเราสิ้นแล้ว เมื่อการพร้อมฉะนี้ควรจะคิดเอาแผ่นดิน ครั้นจะมิคิดการบัดนี้ก็เสียดาย ดูมิควร.."

แล้วจึงป่าวประกาศแก่ทหารและไพร่พลเมืองว่า

"........เมืองพระเจ้าเลนเต้จะสูญยิ้มแล้ว ผู้มีบุญมาเสวยสมบัติใหม่ คนทั้งปวงจงทำตามคำเทวดาทำนายเถิf จะได้อยู่เย็นเป็นสุขพร้อมมูลกัน....."

จากนั้นก็ตั้งตนเองเป็น เทียนก๋งจงกุ๋น เตียวโป้เป็น แตก๋งจงกุ๋น และ เตียวเหลียงเป็น ยินก๋งจงกุ๋น ไพร่พลทั้งหลายประมาณสี่สิบห้าสิบหมื่นก็ยินดีด้วย เตียวก๊กก็ให้เอาผ้าเหลืองโพกศีรษะเป็นสำคัญ แล้วพร้อมใจกันเป็นโจรยึดครองเมืองกิลกกุ๋นไว้ในอำนาจ พร้อมกันนั้นก็ส่งศิษย์คนหนึ่งชื่อ ตองจิ๋ว ถือหนังสือลับไปบอกฮองสีขันที ซึ่งเป็นพรรคพวกอยู่ในเมืองหลวง ให้คอยดูแลช่วยเหลือ แต่ตองจิ๋วทรยศกลับเอาหนังสือไปให้ขุนนาง นำไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ จึงมีรับสั่งให้ โฮจิ๋น ขุนนางผู้ใหญ่ยกกองทัพไปจับ ม้าอ้วนยีฆ่าเสีย และจับฮองสีใส่คุกไว้ จากนั้นก็มีรับสั่งออกไปถึงทุกหัวเมืองว่า ถ้าผู้ใดมีฝีมือกล้าหาญ ให้ช่วยกันจับโจรโพกผ้าเหลือง ได้แล้วจะปูนบำเหน็จให้เป็นขุนนาง และพร้อมกันนั้นก็ให้ทหารเอกสามนายคือ โลจิ๋น ฮองฮูสง และ จูฮี คุมกำลังทหาร ยกไปจับตัวเตียวก๊กมาให้ได้

ฝ่ายเตียวก๊กก็กำลังยกทหารเข้าตีชายแดนเมืองอิวจิ๋ว เล่าเอี๋ยง ซึ่งเป็นเจ้าเมืองจึงเรียก เจาเจ้ง นายทหารมาปรึกษา เจาเจ้งเห็นว่ากำลังของฝ่ายโจร มีมากกว่าทหารในเมือง จึงแต่งหนังสือไปประกาศแก่หัวเมืองใกล้เคียง หาผู้อาสาสมัครมาปราบโจรโพกผ้าเหลือง ถ้าสำเร็จแล้วจะได้กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ ให้ปูนบำเหน็จความชอบตามระเบียบ ก็มีผู้คนอาสาสมัครมาช่วยสู้รบกับโจรเป็นหลายพวก

กลุ่มหนึ่งก็คือสามพี่น้องร่วมสาบาน ซึ่งมีเล่าปี่ จากเมืองตุ้นก้วน อายุประมาณยี่สิบสามปี เป็นชายร่างสูงประมาณหกศอกเศษ หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า หน้าขาวดังสีหยก ถือกระบี่สองมือ และ กวนอู อายุประมาณยี่สิบสองปี สูงประมาณหกศอก หนวดยาวศอกเศษ หน้าแดงดังผลพุทราสุก ปากแดงดังชาติแต้ม คิ้วดังตัวไหม จักษุยาวดังนกการเวก ถือง้าวยาวสิบเอ็ดศอกเป็นอาวุธ กับ เตียวหุย อายุอ่อนกว่ากวนอู ตัวสูงประมาณห้าศอก ศีรษะเหมือนเสือ จักษุกลมใหญ่ คางพองโต ถือทวนคู่มือยาวสิบศอกหนักถึงแปดสิบห้าชั่ง คุมชาวบ้านที่มีฝีมือกล้าแข็งห้าร้อยคน มาสมัครกับเจาเจ้งและเล่าเอี๋ยน พอถามชื่อแซ่แล้วเห็นว่าเล่าปี่แซ่เดียวกันก็ยินดี รับไว้เป็นหลานชาย

ต่อจากนั้นอีกหลายวันได้ข่าวว่า เทียอ้วนจี้ นายโจรคนหนึ่งคุมพลพรรคประมาณห้าหมื่นยกมาใกล้แดนเมืองตุ้นก้วน เล่าเอี๋ยนจึงให้สามพี่น้องยกออกไปป้องกันไว้ ทั้งสามนำพลห้าร้อยของตนมาถึงเขาไทเหียงสัน ก็เจอกับพวกโจร เตียวหุยก็รำทวนแทง เตงเมา รองหัวหน้าโจรตายเป็นประเดิม เทียอ้วนจี้จะออกไปรบแก้มือแต่พอเจอหน้าอันแปลกประหลาดของกวนอูเข้าก็ตกใจชะงักอยู่ เลยถูกกวนอูฟันด้วยง้าวคู่มือ ตัวขาดเป็นสองท่อน พวกโจรก็แตกกระจัดกระจายไปสิ้น ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนมากกว่าถึงร้อยเท่า

พอรุ่งขึ้นก็มีหนังสือจาก สินเกง เจ้าเมืองเฉงจิ๋ว มาขอกองทัพให้ไปช่วยรบกับโจร เล่าเอี๋ยนก็ให้เจาเจ้งกับสามพี่น้อง ยกทหารห้าพันไปทันที กองทหารของเมืองอิวจิ๋วกับเมืองเฉงจิ๋วก็เข้าล้อมตีกระหนาบพวกโจร จนแตกพ่ายไปอีก เจาเจ้งก็จะพาทหารกลับเมืองอิวจิ๋ว เล่าปี่กับน้องชายก็ขอแบ่งทหารห้าร้อยไปช่วย โลติด รบกับโจรที่เมืองกงจ๋งต่อ เพราะตัวเตียวก๊กหัวหน้าโจรคุมพลอยู่ที่นั่น เจาเจ้งก็ไม่ขัดข้อง ทั้งสามจึงไปสมัครอยู่กับโลติดที่เมืองกงจ๋ง ซึ่งขณะนั้นมีทหารห้าหมื่นตั้งค่ายยันกับพวกโจรที่มีไพร่พลประมาณสิบห้าหมื่นอยู่ ยังทำอะไรกันไม่ได้

ส่วนทางด้านเมืองเองฉวนนั้น เตียวโป้กับเตียวเหลียง สองนายโจรก็กำลังรบอยู่กับ ฮองฮูสงและจูฮี ทหารเอกที่มาจากเมืองหลวง เป็นลูกติดพันอยู่เหมือนกัน ต่อมาพวกโจรเสียท่า ถูกฝ่ายทหารหลวงแอบเผาค่ายในตอนกลางคืนเวลาสองยาม เห็นแสงเพลิงสว่างดุจกลางวัน พวกโจรตกใจมิทันใส่เกราะและผูกอานม้า ก็แตกกระจายหนีเพลิงวุ่นวาย ฮองฮูสงและจูฮีก็ไล่แทงฟันฝ่ายโจรล้มตายลงเป็นอันมาก

ครั้นรุ่งเช้า เตียวโป้กับเตียวเหลียงพาพวกโจรที่เหลือตายหนีออกจากเมืองเองฉวนเพื่อเอาชีวิตรอด ก็มาเจอเอากองทหารถือธงแดงสกัดหน้าไว้ ตัวนายชื่อ โจโฉ อายุประมาณยี่สิบเก้าปี สูงประมาณห้าศอก จักษุเล็ก หนวดยาว ซึ่งคุมทหารห้าพันจากเมืองหลวงมาช่วยปราบโจรที่เมืองเองฉวน โจโฉก็เข้าตลุมบอนกับพวกโจรที่แตกหนีมานั้น สามารถฆ่าตายไปประมาณหมื่นเศษ เก็บเครื่องศาสตราวุธและม้า ได้เป็นอันมาก แต่ตัวเตียวโป้กับเตียวเหลียงหนีรอดไปได้ โจโฉจึงเข้าไปหาฮองฮูสงกับจูฮีขอยกทหารติดตามสองนายโจรต่อไป

พอดีเล่าปี่กวนอูเตียวหุย ซึ่งโลติดสั่งให้มาช่วยเมืองเองฉวน ยกทหารพันห้าร้อยมาถึง ฮองฮูสงจึงบอกขอบใจ แล้วให้ติดตามเตียวโป้เตียวเหลียง ซึ่งจะไปสมทบกับเตียวก๊กพี่ชายที่เมืองจงก๋ง ทั้งสามจึงต้องหวนกลับมาช่วยโลติดอีก แต่พอมาถึงกลางทาง เจอโลติดซึ่งถูกถอดออกจากตำแหน่งเจ้าเมือง และถูกจองจำใส่กรง จะเอาไปส่งเมืองหลวง เพราะชาววังที่ชื่อ จูฮง จะเอาสินบนแล้วไม่ได้ ก็เลยใส่ความหาว่าโลติดไม่ตั้งใจรบกับโจรโพกผ้าเหลือง เตียวหุยมุทะลุจะช่วยถอดโลติดออกจากที่จองจำ แต่เล่าปี่ห้ามไว้ว่าเป็นรับสั่ง ใครขัดขืนจะมีโทษ กวนอูจึงว่าเมื่อไม่มีนายเสียแล้ว ขืนรบไปก็ป่วยการเปล่า กลับเมืองตุ้นก้วนดีกว่า เล่าปี่ก็เห็นด้วย

ทั้งสามคนพี่น้อง เดินทางมาได้อีกสองวัน ได้ยินเสียงโห่ร้อง แสดงว่ามีการรบกันอยู่หลังเขา ปรากฎว่าเป็นพวกโจรของเตียวก๊ก กำลังไล่ตีกองทหารหลวงของตั๋งโต๊ะ แตกพ่ายมา ทั้งสามก็พาทหารเข้าไปช่วยรบจนเตียวก๊กต้องถอยไปถึงห้าร้อยเส้น ตั๋งโต๊ะจึงพาทหารหลบกลับเข้าค่ายได้ แต่พอทั้งสามเข้าไปหาในค่าย และตั๋งโต๊ะรู้ว่าไม่ได้เป็นข้าราชการตำแหน่งใด ก็ดูถูกดูหมิ่นไม่เคารพนับถือ

เตียวหุยโกรธจัดว่า

"เราพี่น้องสามคน ช่วยเอาชีวิตมันไว้รอด มันไม่รู้คุณเรากลับทำหยาบช้าดูหมิ่น ชอบแต่จะฆ่าเสียจึงจะหายแค้น..."

ว่าแล้วก็จับดาบจะฟันตั๋งโต๊ะเสีย อีกสองคนก็ช่วยกันห้ามไว้ได้ แต่เห็นว่าถ้าขืนอยู่ด้วย ต่อไปก็ต้องเป็นลูกน้องเขาไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งสามจึงพาพวก กลับไปทำราชการอยู่กับจูฮีที่เมืองเองฉวนตามเดิม

ส่วนโจโฉนั้นตามเตียวโป้กับเตียวเหลียงไม่ทัน ก็กลับมาทำราชการอยู่ที่เมืองเองฉวนเหมือนกัน แต่สังกัดอยู่กับฮองฮูสง ต่อมารู้ข่าวว่าเตียวเหลียงกับเตียวก๊กพี่ชาย คุมโจรโพกผ้าเหลืองอยู่ที่เมืองโหเฉียง ส่วนเตียวโป้นั้นพาพวกโจรไปตั้งอยู่ที่หลังเขาแห่งหนึ่ง ฮองฮูสงกับโจโฉ ก็ยกไปรบกับเตียวก๊ก

ฝ่ายจูฮีกับเล่าปี่กวนอูเตียวหุย ก็ยกไปรบกับเตียวโป้เข้าล้อมเขาลูกนั้นไว้ และฆ่า โกเสง นายโจรรองตายไปคนหนึ่ง ตัวเตียวโป้โดนเล่าปี่เอาเกาทัณฑ์ยิงปักติดไหล่ หนีเข้าไปในเมืองเยียงเซีย จูฮีก็เอาทหารล้อมไว้ แล้วก็เร่งให้ทหารเข้าตีจนใกล้จะแตก ลำแจ้ง นายโจรรองอีกคนหนึ่ง ก็ลอบฆ่าเตียวโป้แล้วตัดศีรษะเอาออกมาให้จูฮี และยอมมอบตัวสามิภักดิ์ด้วย

ทางฮองฮูสงกับโจโฉ เข้ารบกับเตียวก๊กและเตียวเหลียงก็ฆ่าเตียวก๊กตาย เตียวเหลียงออกรบแก้แค้นก็ถูกตีแตกไปถึงเจ็ดครั้ง และสุดท้ายก็ถูกฮองฮูสงฆ่าตายกลางที่รบ พวกโจรก็ยอมแพ้จับตัวได้เป็นอันมาก

ฮองฮูสงก็เอาศพเตียวก๊ก กลับมาเฝ้าพระเจ้าเลนเต้ที่เมืองหลวง ก็ได้เลื่อนยศขึ้นเป็นนายทหารรักษาพระองค์ และให้ครองตำแหน่งเจ้าเมืองบุยจิ๋วด้วย ตัว โจโฉนั้นได้เป็นเจ้าเมืองเจลำเซียง

จากนั้นฮองฮูสงก็ได้ทูลให้พระเจ้าเลนเต้ทรงทราบว่า โลติดนั้นมีความชอบในการปราบโจรเป็นอันมาก มิได้มีความผิดตามที่ขุนนางสอพลอกล่าวหา พระเจ้าเลนเต้จึงรับสั่งให้พ้นโทษ และกลับไปเป็นเจ้าเมืองกงจ๋งตามเดิม

เมื่อหัวหน้าโจรโพกผ้าเหลืองทั้งสามพี่น้องตายไปหมดแล้ว ก็ยังเหลือเตียวฮ่อง กับ ฮั่นต๋ง นายโจรชั้นผู้ใหญ่ซึ่งตั้งตัวเป็นหัวหน้า คุมพลที่คงเหลืออีกหลายหมื่นเที่ยวปล้นบ้านปล้นเมืองต่อมาอีกหลายตำบล จนถึงเมืองอ้วนเซีย เมื่อมีผู้กราบทูลให้พระเจ้าเลนเต้ทรงทราบ ก็มีตรารับสั่งให้จูฮียกทหารไปปราบปราม

จูฮีก็พาทหารเข้าล้อมเมืองด้านตะวันออก ให้เล่าปี่กวนอูเตียวหุยล้อมด้านตะวันตก พวกโจรเห็นจนตรอกก็จะขอมอบตัว แต่จูฮีไม่ยอมรับและรวมกำลังเข้าตีทั้งสามด้าน เว้นด้านตะวันออกให้เป็นทางหนี พวกโจรก็ยกพลหนีออกจากเมืองตามแผน แต่ฮั่นต๋งไปไม่รอด ถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ตายกลางทาง

พอตั้งตัวได้แล้วเตียวฮ่องกลับไม่ยอมแพ้ พาซุนต๋ง เข้าตีชิงเอาเมืองอ้วนเซียคืนจนได้ จูฮีจึงต้องพาสามพี่น้องถอยไปตั้งค่ายห่างเมืองประมาณร้อยเส้น คอยจะเข้าตีเมืองอีก ก็พอดี ซุนเกี๋ยน ชาวเมืองต๋องง่อคนหนึ่ง มีใบหน้ายาว หน้าผากใหญ่ มีกิริยาเหมือนเสือ ยกพลพรรคพันห้าร้อยคน มาขออาสาจูฮีช่วยปราบโจรด้วย จูฮีก็ยินดีจึงให้ซุนเกี๋ยนเข้าตีด้านใต้ เล่าปี่เข้าตีด้านเหนือ จูฮีเข้าตีด้านตะวันตก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่