คนขยัน กับ คนขี้เกียจ...จุดสมดุลของ เงิน กับ เวลา

กระทู้สนทนา
แต่ก่อนความหมายของคำว่า  “คนขยัน” ของผมก็คือ ทำงานให้เยอะเข้าไว้ อาทิตย์ละ 6-7 วัน ยิ่งแทบจะไม่มีวันหยุดนี่
ถือว่าสุดขยัน   ส่วนคนที่ทำงานน้อยๆ  วันว่างเยอะๆ  นี่มันคนขี้เกียจชัดๆ  
        
         เมื่อก่อนทำงานในแวดวงรับเหมาก่อสร้าง  ปกติก็แทบจะไม่มีวันหยุด เพราะงานก่อสร้างเร่งทุกโครงการ สร้างมัน ทุกวัน  
แล้วในออฟฟิศไม่รู้เป็นไรกัน  สแกนนิ้วกลับเวลาเลิกงาน  จะถูกมองว่า ไม่ทุ่มเท  ขี้เกียจ  จนกลายเป็นวัฒนธรรมประจำออฟฟิศ
ว่าต้องอยู่ทำงานกันจนดึกดื่น  มันก็เลยยิ่งตอกย้ำความคิดผมไปกันใหญ่
          
          พอถึงวันหยุด ก็ถือว่าเป็นวันได้ใช้เงิน  ดูหนัง  ช้อปปิ้ง หาไรกินดีๆ   วันหยุดจะเป็นวันที่ใช้เงินมากจริงๆ ก็เลยคิดว่าเป็น
เรื่องโชคดี ที่เรามีวันหยุดน้อย  ( เข้าคอนเซ็ป คนขยัน อีก )  ช่วงนั้นดัชนีเงินเก็บพุ่งสูงปรี๊ด  แต่สวนทางกับดัชนีความสุขทาง
กายและทางใจ  จะทำให้มีสุขบ้างก็คงเป็น การซื้ออุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ  มาใช้ประดับร่างกาย แต่มันก็แค่ประเดี๋ยว ประด๋าว
          
          ชีวิตที่เป็นอยู่ช่วงนั้น  จัดว่าแย่เลยครับ เงินมี แต่ที่ไม่มีเลยคือเวลาครับ  ห้องที่พักอยู่ก็รก  ห้องน้ำก็สกปรก  ตู้เย็นก็เต็ม
ไปด้วยของเหลือจนจะเน่า สุขภาพไม่ต้องพูดถึง จะออกกำลังกายก็คงเป็นช่วงที่ได้เดินไปกินข้าว  ก็เลยกลับมาคิดว่า คนขยัน ต้อง
มีชีวิตแบบนี้เหรอ  
          
            เลยมาปรับเปลี่ยนชีวิตใหม่ หาจุดสมดุลระหว่าง เงินกับเวลา    ลาออกจากงานประจำ  แล้วนำเงินเก็บที่มีอยู่มาลงทุน (เป็น
คนที่ เหล้าไม่กิน  บุหรี่ไม่สูบ  หนี้สินไม่มี ) ทุกวันนี้รายได้จากการลงทุนก็ยังไม่มากเท่ากับเงินเดือนที่เคยได้  แต่มีเวลามากขึ้นมากๆ
เวลาที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ได้ใช้ไปกับการ ช้อปปิ้งฟุ่มเฟือย เพราะมันจะเลยจุดสมดุลกับรายได้ที่ลดลง  สุขภาพกาย สุขภาพจิตดีขึ้นมาก  
อยากทำอะไรก็ได้ทำ อ่านหนังสือเล่มที่อยากอ่าน  ได้ออกกำลังกาย ที่อยู่อาศัย สะอาด สบายตา  มีเวลาไตร่ตรองชีวิต วางแผน
การลงทุน  และคาดว่ารายได้จากการลงทุนจะเพิ่มขึ้นจนแซงเงินเดือนที่เคยได้อีกไม่นาน........จบครับ

ปล.      ทุกวันนี้ผมกลายเป็นคนขี้เกียจในสายตาเพื่อนผมบางคน  แต่ผมมีความสุขดี แค่แฟนผม พี่ๆผม  เข้าใจในสิ่งที่ผมทำก็พอ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่