เรียนแฟชั่นมา 4 ปี แต่จบมาเป็นสจ๊วตอยู่ 6 ปีเต็ม
จริงๆ ผมเริ่มสนใจงานศิลปะมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กๆ ก็เข้าประกวดวาดรูปทั่วๆ ไป แต่ผลงานตอนนั้น จะไม่ค่อยเหลือเก็บไว้ เพราะเป็นคนที่Perfectionist คือถ้าวาดไม่สวยก็จะขยำทิ้งเลย แต่คุณแม่ก็จะแอบเก็บเอาไว้ แต่เราก็ไม่เคยเอามาดู ส่วนตัวจะเก็บเฉพาะผลงานที่เราคิดว่าสวยเอาไว้ เท่านั้น ต่อมาผมก็เอ็นทรานซ์ต่อด้านพัสตราภรณ์ คณะศิลปกรรม ม.ธรรมศาสตร์ และด้วยที่บ้านผมเองก็ทำธุรกิจส่งออกเสื้อผ้า เราจึงเลือกเรียนทางด้านแฟชั่น
พอเรียนมา เรารู้สึกว่าตัวเอง blank คือ เราไม่มีแรงบันดาลใจ ก็เลยขอพ่อเที่ยวก่อนปีหนึ่ง ตอนนั้นจริงๆ เหมือนโดนเพื่อนหลอกไปสมัครเป็นสจ๊วต คือเพื่อนกำลังจะไปสมัครแอร์โฮสเตสสายการบินกาตาร์ แต่ไม่มีเพื่อน เลยหลอกเราไปสมัครด้วยกัน โดยที่เพื่อนเตรียมเอกสารอะไรให้เราหมดแล้ว สรุปว่าเราได้ แต่เพื่อนไม่ได้ (หัวเราะ)
ชีวิต 'สจ๊วต' เป็นเหมือนการใช้ชีวิตเพียงแค่ครึ่ง เป็นชีวิตที่ไม่เต็ม
เป็นสจ๊วตมาถึง 6 ปี จนเราเริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพ คือ อดนอนไม่ได้ และก็มีอยู่ไฟท์หนึ่ง เป็นไฟท์ยาว ซึ่งจะมีช่วงพักบิน 5-6 ชั่วโมง เราไม่รู้จะทำอะไร เลยอบขนมเล่น ก็เอาของกินที่เหลือจากของเซอร์วิสมาทำ แล้วก็มีแอร์คนหนึ่งเดินมาบอกกับเราว่า "เธอรู้มั้ยว่า พระเจ้าประทานพรสวรรค์มาให้เธอทำขนมได้ เธออย่าทิ้งพรสวรรค์นี้ไปนะ เธอลาออกซะ เพราะชีวิตที่เป็นแอร์ เป็นเหมือนชีวิตที่เป็นครึ่งหนึ่ง คือไม่มีชีวิตเต็มๆ เป็นชีวิตที่ต้องเซอร์วิสครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งก็นอนแสตนด์บาย" และการเป็นสจ๊วตเมื่ออายุมากขึ้นก็จะต้องโดนปลดระวาง เลยตัดสินใจออกมาเลยดีกว่า เพราะอายุเราก็ไม่ใช่น้อยแล้ว หลังจากนั้นก็เลยเริ่มไปศึกษาข้อมูล จนมาลงเอยที่โรงเรียนเลอ กอร์ดอง เบลอ เรียนไปสองคอร์ส รู้สึกไฟแรงมาก เลยออกมาหาประสบการณ์ อยากทำอะไรที่มันเป็นของตัวเองมั่ง ได้ไม่ได้ก็ค่อยว่ากันอีกที
ปัจจุบันหนุ่มคนนี้เป็นเชฟอบขนม ที่ยังไม่ทิ้งลายเส้นและปากกาวาดรูป
หกปีที่ผ่านมาระหว่างเป็นสจ๊วตแทบจะไม่ได้แตะเลย เพราะงานมันเครียด ผมรู้สึกว่าถ้าเราจะวาดรูปได้ ทุกอย่างต้องโอเค ไม่เครียด ต้องรออารมณ์ แล้วพอมาทำขนม เริ่มมีเวลาว่าง รู้สึกเบื่อๆ ก็เลยกลับมาจับปากกาวาดรูปอีกรอบ ตอนแรกวิธีการวาดของเราจะคล้ายๆ แนวแฟชั่นสเก็ต คือจะไม่เน้นหน้าตา เน้นเฉพาะ figure และลวดลายผ้า พอวาดไปเรื่อยๆ เราเริ่มรู้สึกอยากหาเอกลักษณ์ให้ตัวเอง เพราะเรารู้สึกว่าภาพนางแบบเป๊ะๆ มันไม่ดึงดูด ขาดอะไรบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา ตอนนั้นตุ๊กตาบลายธ์ที่มีหัวโตๆ กำลังมา พอเราวาดหัวโตๆ จึงต้องลงรายละเอียดกับหน้าให้เยอะขึ้น ดีเทลเรื่องตา ขนตา ปาก กระทั่งรอยริมฝีปาก จนเราเริ่มรู้สึกว่ามันเปลืองกระดาษ เพราะ figure บางอย่างเราต้องเอาไปเทียบกับสัดส่วนของมือกับส่วนหัว อย่างเช่น การวาดชุดละครรำ ที่มือกับรูปร่างต้องสอดคล้องกัน ก็เลยต้องย่อสัดส่วนของหัวลง จนมาลงตัวเป็นรูปแบบเอกลักษณ์ของเราในปัจจุบัน
ภาพวาดที่ต้องใช้อารมณ์และอ้างอิงถึงประวัติศาสตร์
การขึ้นรูปเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด ต้องใช้เวลาบิ้วอารมณ์พอสมควร ถ้าไม่บิ้วภาพที่ออกมาจะดูแข็งมาก และเวลาผมวาดรูปประวัติศาสตร์จะต้องมีข้อมูลอ้างอิง จะไม่วาดขึ้นมาลอยๆ เพราะเราต้องรู้ก่อนว่าต้องแต่งหน้า ทำผมอย่างไร ผ้าที่เขาใส่เป็นผ้าอะไร เทคนิคปักหรือทอ ทรวดทรงคนใส่เป็นแบบไหน (ทรงเอ, ทรงระฆัง, ทรงถัง) แล้วจึงเริ่มลงรายละเอียด โดยเริ่มจากการร่างโครงหน้า ใส่ตา จมูก ปาก ไล่มาที่ตัว นับสัดส่วน คือจะเป็นการร่างแบบเปลือยก่อน แล้วค่อยใส่ชุดลงไป เสร็จแล้วจึงเก็บรายละเอียด และลงหมึกดำ ลบส่วนที่เป็นดินสอออก แล้วค่อยลงสีขั้นตอนสุดท้าย โดยสีที่ใช้จะเป็นสีโคปิค ซึ่งจะเป็นสีสำหรับการสเก็ตโดยเฉพาะ

|
อย่างชุดนี้ ใส่แล้วทำให้สัดส่วนคนเปลี่ยน ช่วงบนจะทำให้ดูยาว และชุดข้างล่างจะใส่แบบเต่อ เลยทำให้ดูสั้นเข้าไปอีก ซึ่งเราก็ต้องศึกษาตรงนี้ด้วย เพื่อที่จะตอบคำถามคนอื่นๆได้ |
ภาพที่วาดยากสุด คือ ผ้าลายไทย อย่างลายผ้าซิ่น ต้องมานั่งเจาะลายดู แต่ต้องเข้าใจว่าการวาดสเก็ตมันละเอียดแค่ระดับหนึ่ง แต่สเก็ตเพื่อให้เห็นภาพโดยรวม เสื้อผ้า หน้าผม สีสันเป็นอย่างนี้ อย่างรูปที่ผมวาดมันอยู่ระหว่างการสเก็ตและการวาดพอทเทรต คือไม่ถึงกับเหมือนจริง เพราะสัดส่วนมันไม่เท่ากัน อย่างสัดส่วนของลายจก มันเล็กนิดเดียวเอง พอมาวาดลงไปในชุดแล้วมันไม่สวย เพราะมองไม่เห็น ผมก็เลยต้องวาดขยายให้มันใหญ่ขึ้น
|
เจ้าของ "กระทู้แนะนำ" กระทู้คุณภาพที่ชาวพันทิปยกย่อง
ผมเริ่มเล่นพันทิปมาตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว ตอนตั้งกระทู้แรกๆ เรายังไม่ได้วาดเอง แค่เอาภาพถ่ายมาอธิบาย เพราะรู้สึกว่าตอนที่เราเรียนมา อาจารย์ที่สอนในห้องเรียน เขามักจะใช้ระดับภาษาที่ยากในการสอน เราเลยรู้สึกอยากสอนภาษาง่ายๆ ให้คนทั่วไปเขาเข้าใจด้วย โดยนำความรู้ที่เรียนมา ซึ่งทำให้เรามีประสบการณ์จับผ้ามาหลายแบบ และนำมาถ่ายทอดลงในกระทู้ กระทู้แรกๆ ที่วาดเมื่อสมัยเรียน ก็จะเป็นกระทู้ชุดประจำชาติเกาหลี รูปร่าง หน้าตาของนางแบบก็ยังไม่ลงตัวเท่ากับรูปตอนนี้
กระทู้คุณภาพว่าด้วยเรื่อง แฟชั่นและประวัติศาสตร์ที่เป็นของคู่กัน
ไม่ใช่เพียงรูปภาพที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ของคุณอาร์มเท่านั้น ยังมีเนื้อหาในกระทู้ที่เต็มไปด้วยความรู้ทางประวัติศาสตร์ผ่านแฟชั่นเครื่องแต่งกายที่น่าสนใจไม่แพ้กัน "ในอดีต การแต่งกายในแถบเอเชียหรือประเทศไทยมักจะไม่เกี่ยวกับเรื่องแฟชั่น แต่จะเกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครอง คือ มีคนบังคับให้ทำถึงแต่ง ไม่ได้แต่งตามรสนิยม เป็นการแต่งเพื่อแสดงตัวว่าเป็นคนไทย เป็นข้อบังคับว่าคนไทยต้องตัดผมสั้น เคี้ยวหมากฟันดำ ถ้าใส่ลายผ้าแบบต่างประเทศจะโดนเพ่งเล่ง ในจีน ญี่ปุ่น เกาหลีก็เช่นกัน นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่เราต่างจากยุโรป ทางยุโรปเขาจะแฟชั่นมาก ชอบอะไรก็ใส่เป็นกระแสไปเรื่อยๆ จึงทำให้เขาไม่มีชุดประจำชาติของตัวเอง เช่นในอังกฤษ หรือฝรั่งเศส"
หลงใหลอย่างเดียวไม่พอ ยังเป็นนักสะสมผ้าโบราณด้วย
เริ่มสะสมมาตั้งแต่ตอนสมัยเรียนแล้วครับ ตอนนั้นเวลาเรียนเรื่องลายผ้า ได้ไปทัศนศึกษา ทำให้เราได้เห็นว่าผ้าที่เขาทอในสมัยใหม่ยังสวยสู้ผ้าเก่าๆ ที่โชว์ในพิพิธภัณฑ์ไม่ได้เลย แล้วเราก็รู้สึกว่าทำไมคนไม่ทอเหมือนเก่า พอไปเดินเล่นที่จตุจักร ได้ไปเจอผ้าเก่า แล้วเห็นว่าสวย ก็เลยตกลงราคาซื้อมา ก็เลยเริ่มสะสม หลั่งไหลมาเรื่อยๆ ไปต่างประเทศก็ไปสะสมผ้าต่างประเทศ ซื้อเก็บมาเยอะมาก อย่างผ้ามาเลย์ที่ผมมี ผมเคยไปแย่งกับคนญี่ปุ่นมา ผมเห็นแขวนอยู่บนราวร้านขายของเก่า คือ เจ้าของเขาก็คงไม่รู้ถึงมูลค่าของผ้า ผมไปแย่งกับคนญี่ปุ่น เขาบอกว่าจะเอาไปตัดเป็นกางเกง แต่ผมบอกว่าไม่ได้น่ะ!! เราจะเอาไปเก็บ ของแบบนี้ไม่ควรเอาไปตัด เพราะดูสิ เทคนิคลายสวยมาก คือมันเป็นผ้าทอยกทองทั้งผืนเลย แต่มันขาดนิดๆ สุดท้ายเจ้าของร้านก็ขายให้เรามา เพราะว่าเราไปจับก่อน ฮ่าๆ
ผมรู้สึกว่าแฟชั่นสมัยนี้ประยุกต์หมดจนรู้สึกว่าน่าเกลียด เลยกลับไปที่ของเก่าๆ ด้วยที่มันสวยในแบบของมันอยู่แล้ว แต่ถ้าจะนำมาประยุกต์ ก็ควรรู้ที่มาที่ไปของมันด้วย อย่างปัจจุบันบางครั้งเขาไม่รู้ว่าของเก่ามันเป็นมายังไง แล้วเมื่อเอามาประยุกต์ก็ลืมความเป็นดั้งเดิมไป จริงๆ มันมีพัฒนาการของมันอยู่ แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง จุดที่มีการเปลี่ยนผ่านระหว่างสมัยเก่ากับสมัยใหม่ คนลืมของเก่าแล้วมาเห่อของใหม่แทน มันเลยขาดความต่อเนื่อง บางอย่างไม่มีคนบอก ไม่มีคนสอน เราก็ต้องมาสืบค้นเอาเอง สืบค้นจากแหล่งทอใกล้เคียง ว่าลายมันเทียบเคียงแล้วทอออกมาได้รึเปล่า จริงๆ การทอผ้าเทคนิคมันไม่เยอะ แต่ก็มีหลายเทคนิคที่ทำให้เกิดลายมากมาย แต่ว่าก็ต้องไปศึกษาไปเรียนกับคนที่เขายังทอผ้าอยู่
ปัจจุบันเหล่านักสะสมในเมืองไทยมีหลากหลายอาชีพ ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ รุ่นใหม่ๆ ก็มีเยอะ เพราะเขาก็อยากหาอะไรที่ไม่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของเขา อยากจะกลับไปในอดีต ยุคสมัยที่ไม่เร่งรีบ จึงได้ทอผ้าได้สวยขนาดนี้ เพราะฉะนั้นวิธีการทอมันจะประณีตมากกว่าปัจจุบันที่ทอขาย
ความสามารถพิเศษของเขาอีกอย่างยังรวมไปถึง "การทอผ้า" อีกด้วย
ผมเคยเรียนทอผ้าจากกลุ่มอาจารย์ทอผ้าไทยยวน ราชบุรี เขามาสอนก็ทอได้หมด ตอนนั้นจำได้เลยว่าอาจารย์ให้ทอผ้าลายธรรมดา แต่ผมทอลายขวาง(ลายลุนตยา) ซึ่งผมใช้เวลา 3 เดือนในการทอจนอาจารย์บอกจะไม่ให้คะแนนอยู่แล้ว เพราะมันใช้เวลานานมากและเลยเวลาส่งแล้ว ตอนนั้นเลยทำให้รู้สึกว่าเวลาไปซื้อผ้าพวกนี้จะไม่ต่อราคา แต่ถ้าเป็นพ่อค้าคนกลางต่อสบาย ต่อเยอะๆ เพราะว่าคนทอไม่ได้ คิดดูว่าเขาต้องทอเป็นวันๆ แค่รายได้จากการทอผ้ามันไม่พอยาไส้ เขาต้องไปทำอย่างอื่น ทำนา รับจ้าง เวลาว่างก็มาทอ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ให้เขาไปเถอะ
ลมหายใจ ความเชื่อ และประวัติศาสตร์ผ่านผืนผ้า
คุณอาร์มยังพูดถึงเสน่ห์และคุณค่าของผ้าไทยโบราณไว้ว่า เมื่อเราจับผ้า เราสัมผัสได้ถึงชีวิต ถึงวิธีการทอผ้า สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ ความคิด ความเชื่อของคนในสมัยนั้น แล้วมันตกทอดมาถึงปัจจุบัน สัมผัสได้ถึงความมีชีวิตจิตใจที่เหมือนมนุษย์ เพราะแต่ละฟืมที่เขาตีลงไปในการทอ มันมีชีวิตและลมหายใจของเขาจริงๆ อย่างผ้าปักลายที่ต้องอาศัยความประณีตในการปักลายให้เท่ากันมากๆ ทุกวินาทีที่เขาปัก ต้องมีใจจดจ่ออยู่กับมันมากๆ และเป็นการแสดงถึงศักยภาพทางฝีมือ แสดงถึงความเคารพในสิ่งที่เขาทำ เขาถึงได้ทำออกมาสวยขนาดนี้ ที่เราเห็นเป็นลายเล็กๆ คืบหนึ่ง ทอเป็นวันๆ เป็นเดือนๆ แต่สำหรับผ้าผืนใหม่เหมือนผ้าไร้ชีวิต เพราะมันไม่เคยผ่านอะไรมาก่อน
ฝากถึงเพื่อนๆ ชาวพันทิป
ก็จะพยายามทำผลงานออกมาเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะค่อนข้างยุ่งมาก แต่ก็ตุนๆ ผลงานไว้เรื่อยๆ หรือเวลามีคนมาติถึงเรื่้องต่างๆ ผมก็พยายามนำมาปรับปรุงเรื่อยๆ และก็ขอบคุณที่สนใจและติดตามผลงานครับ
และสามารถติดตามผลงานต่างๆ ของคุณอาร์มได้ที่ odia หรือ Seki Hearts Sketching
|