|
* อ่านคำอธิษฐานในเทศกาลลอยกระทงของชาวพันทิปคาเฟ่ได้ที่นี่ คลิก
* สมาชิกสามารถอ่านเนื้อหาในฉบับย้อนหลังได้ผ่านทางหน้าเว็บ
http://www.pantip.com/cafe/theespresso
* แนะนำบริการหรือแจ้งปัญหา Cafe & BlogGang ติดต่อผ่านช่องทางใหม่ได้ที่
คลิก
|

เมื่อเอ่ยถึงงานหนังสือ คุณนึกถึงอะไรกันบ้าง?
- คน เติม s แปลว่า ผู้คนจำนวนมากที่ต่างแห่แหนมาเลือกซื้อหนังสือราคาลดพิเศษ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ วัยรุ่น วัยทำงาน หรือแม้แต่ผู้สูงอายุ บรรยากาศคึกคักแค่ไหนอย่าเพิ่งมองที่ยอดขาย แต่ให้ดูที่จำนวนคน ..บางทีบางปีคนก็เยอะจนเรียกว่าแออัด
- มาสคอต มาสคอต
ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการประชาสัมพันธ์เรียกคนเข้าบูธ ยังไม่รวมถึง ชุดคอสเพลย์ตัวละครหรือการ์ตูนเรื่องต่างๆ
ซึ่งถือเป็นสีสันอย่างหนึ่งที่เด็กเล็กๆ หลายคนชื่นชอบ บ้างก็เข้าไปจับไม้จับมือหรือขอถ่ายรูป
- กิจกรรม/นิทรรศการ/งานเสวนาต่างๆ
ตั้งแต่การเปิดตัวหนังสือใหม่ เวทีสนทนากับนักเขียน ซึ่งผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่ตลอดทั้งวัน
เป็นเรื่องน่าแปลกอย่างหนึ่งที่งานเสวนาบางเรื่องน่าสนใจมากๆ แต่คนฟังกลับน้อย
เดินไปเดินมาถึงได้รู้เหตุผลว่าอ๋อ...คนมาดูดาราอยู่บูธนี้นี่เอง
- เซเล็บ
คนดังกับงานหนังสือเป็นของคู่กัน ในที่นี้หมายรวมถึงเหล่านักเขียน ดารานักแสดง
นักร้อง ฯลฯ ที่มาร่วมเปิดตัวหนังสือของสนพ.ต่างๆ สังเกตว่าบูธไหนที่มีเซเล็บจะคึกคักเป็นพิเศษ
- รถไฟฟ้ามหานคร พูดเรื่องรถไฟฟ้าตอนนี้ชาวพันทิปคงคิดถึงชื่อหนัง ไม่ใช่... กำลังหมายถึงรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) จุดมุ่งหมายเดียวกันคือสถานี "ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์" ที่ผู้คนต่างเบียดเสียดกันขึ้นบันไดเลื่อนเข้างาน ส่วนคนที่ไม่ได้นั่งมางาน รับรองว่าสถานีถัดไป โล่ง...
- อิริยาบทการ
"นั่งอ่านกับพื้น" ในชีวิตประจำวันลองถ้าไปนั่งอ่านหนังสือกับพื้นในที่สาธารณะ
คงต้องมีใครมองคุณแปลกๆ กันบ้างละ แต่ที่งานหนังสือ คุณสามารถนั่งพื้น
ยืดแข้งขาอ่านหนังสือได้โดยไม่มีใครว่า แถมดีไม่ดียังจะส่งยิ้มให้คุณซะอีก
แต่อย่าไปนั่งขวางทางเดินใครเข้าละ ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างที่พบได้เฉพาะงานหนังสือ
The Espresso
ฉบับนี้เก็บตกงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ (14th Book Expo Thailand 2009)
งานใหญ่ส่งท้ายปลายปีสำหรับเหล่านักอ่าน ลองอ่านกันดูว่า สมาชิกพันทิปประทับใจอะไรในงานนี้กันบ้าง
และหนังสือเล่มไหนที่ชื่นชอบและเสียเงินซื้อ
แกงค์ครองโลก
: เดินทุกวัน สิ่งที่สังเกตได้ล่าสุดคือการหลอกจับ LC เถื่อน
หนังสือเล่มที่ประทับใจ คือหนังสือสอนฮิรางานะที่ซื้อให้น้องชายของ สสธ.
กับ "หน้ากากแก้ว" เล่ม 43 ของ สึสึเอะ มิอุจิ แพงที่สุดคือหนังสือ
"ครูพิเศษจอมป่วนรีบอร์น" ยกชุด 800 กว่าบาท ถูกที่สุดคือ "Ren
Ren Mag." 35 บาท
|
|
|
|
|
Hilight
ฉบับนี้คุยกับคุณ saipin
สมาชิกอีกท่านหนึ่งจากกลุ่ม "ศิลปะ" ห้องเฉลิมกรุง
ผลงานของเธอเป็น "ภาพเขียนพู่กันจีน" ซึ่งหาดูได้ในน้อยมาก
เพราะลำพังสมาชิกที่เข้ามาหมวดนี้ก็น้อยและเงียบเหงาอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีอยู่ไม่กี่คนที่วาดงานสไตล์นี้
จึงไม่แปลกที่หญิงสาวท่านนี้ จะเป็นที่รู้จักดีในบรรดาขาประจำของกลุ่มศิลปะ
เกี่ยวกับงานเขียนภาพพู่กันจีนในกลุ่มศิลปะ
"บางทีก็ดูจากใน Youtube มีวิธีสอนการเขียนพวก how to paint แล้วก็เสิร์ชหารูปจากในอินเทอร์เน็ตบ้าง
รูปไหนชอบก็เอามาลองฝึกหัดวาด ส่วนจะวาดออกมาเป็นภาพเหมือนหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
แรกๆ นั้นไม่ได้เขียนภาพพู่กันจีน แต่เป็นภาพเขียนสีน้ำธรรมดา ด้วยความที่ตัวเองขี้เกียจร่างภาพด้วยดินสอก่อน
และก็ใจร้อนด้วย อยากวาดโดยดูแบบแล้วป้ายสีลงพู่กันเลย ช่วงหลังเอางานภาพวาดพู่กันจีนมาลง
น้องๆ ในห้องศิลปะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น่าจะเอาดีทางด้านนี้ ก็เลยเริ่มสนใจ
ส่วนใหญ่ภาพที่วาดก็จะเป็นต้นไผ่ ดอกไม้ นก ปลา ไก่ แมว หมีแพนด้า สัตว์น่ารักๆ
วิวทิวทัศน์ ภาพนึงวาดไม่กี่นาทีก็เสร็จแล้ว เอามาโพสได้บ่อยๆ จนใครๆ ก็บอกว่ายอมแพ้ความขยัน
มีน้องๆ สมาชิกในห้องเข้ามาดูและก็ช่วยให้คำแนะนำ วิพากย์วิจารณ์มาโดยตลอด
อันนี้ก็ต้องขอขอบคุณทุกๆ คนไว้ด้วย
เรื่องระบายสีจริงๆ แล้วไม่เก่งเลย แต่เป็นคนที่ชอบวาดแล้ว มีความสุขกับการได้จับพู่กันวาดภาพระบายสี
สมาชิกบางคนเห็นผลงานเรามาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่วาดไม่เป็นเลย จนพอดูได้ เขาก็คิดว่าน่าจะเป็นตัวอย่างได้
สำหรับผู้ที่ไม่ได้เรียนมาทางนี้ แล้วขยันที่วาดที่จะฝึกฝน หรือหลายคนที่วาดไม่เป็นแต่อยากวาดภาพ
พอเห็นคนที่วาดไม่เก่งอย่างเรา แล้วฝีมือพัฒนาขึ้น ก็จะมีกำลังใจ อยากลองวาด
อยากเอางานมาลงบ้าง
ที่จริงแล้วเราก็ไม่ได้เรียนศิลปะมาโดยตรง
ส่วนใหญ่ก็ชอบซื้อหนังสือที่เขาสอนวาดรูปสีน้ำ สอนวาดรูปพู่กันจีน มาฝึกหัด
ไม่ว่าจะเป็นหนังสือภาษาไทย หรือหนังสือจีน ภาษาอังกฤษ เคยไปเรียนวาดรูปบ้าง
เหมือนการผ่อนคลายเมื่อได้ทำสิ่งที่เรารัก ตอนนี้ทุกวันเสาร์ก็ไปเรียนวาดภาพจีนกับ
เล่าซือหม่า เสียว หัว ที่ OKLS เล่าซือก็ยังบ่นเลยว่าเราเป็นคนใจร้อน
(หัวเราะ) ต้องใจเย็นมากกว่านี้ คิดว่าสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้วาดภาพได้ดีขึ้น
ก็เป็นเพราะคำติชมของน้องๆ เพื่อนๆ ในห้อง อาจเป็นเพราะเราเป็นคนไม่มีอีโก้
ไม่เคยโกรธเวลาที่ใครเข้ามาติงานเรา ถ้าใครชมนี่จะไม่ให้ Give นะ ก็แอบยิ้มเหมือนกัน..
แต่มักจะให้ Give กับคนที่ติ หรือชี้ข้อบกพร่องมากกว่า เหมือนเป็นกระจกสะท้อน
คือเขาเสียเวลามาหาจุดบกพร่องให้เรานะ"
คุณ saipin เล่าให้เราฟังว่าปกติเธอเล่นพันทิปคาเฟ่อยู่สองห้อง
คือ "ราชดำเนิน" และ "ศิลปะ" ในเฉลิมกรุง แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกแตกต่าง
คือศิลปะนั้นไม่มีการแบ่งข้าง
"มีคนเคยเข้ามาถามว่าทำไมเห็นเราอยู่ในราชดำเนินนี่เข้มและจริงจังมาก
แต่เวลาออกมาแล้วดูเป็นคนละคน สิ่งที่แตกต่าง คือศิลปะมันเป็นโลกที่บริสุทธิ์นะ
มาที่ห้องนี้แล้วสบายใจ เบาโล่ง ห้องศิลปะไม่มีการแบ่งข้าง แบ่งพวกแบ่งสี
เมื่อเข้ามาที่นี่เราก็ละทิ้งอะไรที่เป็นการเมือง เหมือนกับสวมหมวกคนละใบ
เข้ามาคุยเรื่องศิลปะกัน เอาศิลปะมาพูดกัน สำหรับคนที่มีใจรักศิลปะเหมือนๆ
กัน การเมืองหรืออย่างอื่นเราจะไม่พูดถึงเลย ไม่สนใจ
ในห้องศิลปะเราแฮปปี้นะ รู้จักสมาชิกในกลุ่มนี้เกือบหมด แม้จะไม่เคยเจอหน้าแต่เราก็รู้จักล็อกอิน
รับรู้นิสัยใจคอ รู้ว่าการตอบของใครเป็นยังไง มีสมาชิกหลายท่านเลยที่มีฝีมือทางศิลปะ
วาดภาพแบบมืออาชีพเลย เช่น "ยุทธกิจART" หรือคุณตี๋ "ค่ำคืนหน้าหนาว",
"ALPHA FO" Rina (rinaswan), อ.ช้าง "thai-secret" ลำดวนดอย ลุงปุ๋ย น้องเงิน
ฟ้าคราม ทุเรียนกวน jamjuree (nuchock) ชายaloneso Atas,freesia flower
nai-nu-19 เยอะมาก และมีอีกหลายท่านที่พี่ไม่ได้เอ่ยนามมาได้หมด ท่านเหล่านี้ล้วนเป็นจอมยุทธแถวหน้าในห้องศิลปะ
ที่เก่งๆ กว่าทั้งนั้น"
เนื่องในโอกาสวันลอยกระทง คุณ saipin ยังได้ฝากทิ้งท้ายเกี่ยวกับเทศกาลนี้ไว้สั้นๆ
รวมถึงวาดภาพด้วยพู่กันจีน เพื่ออวยพรมายังชาวพันทิปทุกท่านด้วย
"อย่างฝรั่งก็จะมีวันวาเลนไทน์ที่เป็นวันแห่งความรัก
ของไทยเราที่จริงแล้ววันลอยกระทงก็ดูเหมือน เป็นวันที่หนุ่มสาวจะเผยความในใจแก่กันนะ
เป็นวันของหนุ่มสาวที่มีความรัก ลอยกระทงท่ามกลางพระจันทร์เต็มดวง แล้วก็มักจะอธิษฐานขอให้กระทงของเราทั้งคู่ลอยไปด้วยกัน
จริงไหม (หัวเราะ) ถ้าเป็นครอบครัว พ่อแม่ก็จะพาลูกเล็กๆ ไปลอยกระทงได้เห็นพลุ
เห็นกระทงสีสวยๆ มีแสงเทียนเล็กๆ ลอยตามน้ำไป มันเป็นประเพณีที่ยังคงมีเสน่ห์ของไทยน่ะ
ยังไงก็ขออธิษฐานให้สิ่งที่ไม่ดี ถูกพระแม่คงคาชะล้างไป ขอให้ชาวพันทิพทุกท่านเจอแต่สิ่งที่ดีๆ
สิ่งที่เป็นความสุขความสบายใจ เข้ามาในชีวิตของทุกๆ คนนะคะ"
|
|
 |
|
JChai_Jane
: ไปมา 4 วัน อย่างแรกที่ผิดหูผิดตาคือคนแยะกว่าครั้งที่แล้วมาก
และที่ประทับใจคือ แต่ละวันจะเห็นพ่อหรือแม่ พาลูกมาซื้อหนังสือ โดยส่วนตัวแล้วในฐานะที่พึ่งเป็นพ่อคน
รู้สึกว่าดูแล้วอบอุ่น ตัวผมก็ไปซื้อหนังสือภาพให้ลูกหลายเล่ม เป็นกิจกรรมที่ดีที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว
และปูพื้นฐานวัฒนธรรมการอ่าน ให้เข้มแข็งตั้งแต่เด็ก เด็กถ้าชอบอ่านหนังสือ
คงต่อยอดในเรื่องความคิด จินตนาการ และการค้นคว้าได้ไม่ยาก และหนังสือเป็นสื่อความสุขราคาถูก
อ่านได้ทั้งครอบครัว
หนังสือเล่มที่ประทับใจ
คือ "Lion of Lucerne หักเขี้ยวราชสีห์" ผู้แต่งคือ Brad Thor
เหตุผลคือ สนพ. Post จัดโปรโมชั่นซื้อครบ 500 เล่มต่อไปลด 50% ก็เลยเลือกเล่มนี้
(ฮา) พอมาลองอ่านปรากฏว่า สนุกเกินคาด และที่น่าทึ่งกว่านั้นคือผู้แต่ง
เป็นผู้ผลิตสารคดีท่องเที่ยวระดับรางวัลคือ รายการ traveling Lite แต่กลับแต่งนิยาย
แนว Techno Triller ที่เต็มไปด้วยอาวุธสมัยใหม่ได้สนุกเกินคาด และสอดแทรกสถานที่ท่องเที่ยวเข้าไป
จากประสบการณ์ลงพื้นที่จริงของตัวเอง
บุ้นแจกวง : เดินงานหนังสือทุกวัน ประทับใจทั้งผู้ซื้อและผู้ขายที่น่ารักน่าชัง เชื่อฟังผู้น้อยแนะนำและทำตามอย่างว่าง่าย หนังสือที่ประทับใจคือ หงส์ฟ้าประกาศิต อ้อเล้งเซ็ง สุทธิพล นิติวัฒนา ตามหามายี่สิบกว่าปีกว่าจะมีพิมพ์ใหม่ ส่วนที่แพงสุด...กระบี่ล้างแค้นสองภาค ราคา 1,600 ได้ ถูกสุด...โฉมสะคราญ ปณิธาน จอมคน 35 บาท
hollowpig
: ไปหนึ่งวันและประทับใจที่คนไทยสนใจอ่านหนังสือมากขึ้น หนังสือลดราคาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
ซึ่งผมได้ซื้อไว้หลายเล่มมาก จำชื่อและคนแต่งไม่ค่อยได้ ส่วนใหญ่เป็นของ
สนพ. สร้างสรรค์ หนังสือแพงสุดรู้สึกจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับ พฤติกรรมของลัทธิธรรมกาย
คนเขียนคือ ดร.ระวี ภาวิไล
เจ้าแก้วพิสดาร ณ เมืองปาย : งานหนังสือปีนี้ ไปวันแรกวันเดียวค่ะ อาจจะเพราะเป็นวันแรกคนเลยเดินน้อย สิ่งที่เห็นคือ ร้านนิยายวัยรุ่นยังครองตลาด บูธสนพ.แนวนี้เด็กมุงเต็ม หนังสือท่องเที่ยวสไตล์ backpacker เยอะขึ้น นวนิยายเหมือนจะลดลง เล่มใหม่ๆ มีน้อย ยิ่งประเภทคนดังเขียนหนังสือยิ่งน้อย หนังสือที่ประทับใจ คือ "ฟินแลนด์ไม่มีแขน" ของใบพัด เคยอ่านเสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่านแล้วชอบคนเขียน ชอบมุกขำๆ ที่เค้าใส่ลงไป เค้าเป็นนักเที่ยวที่เขียนในมุมมองของนักเที่ยวมือใหม่ ทำให้เราคิดว่าเรื่องอาจเกิดขึ้นใกล้ตัว ตอนนี้อ่านเกือบจบแล้ว ระดับความชอบยังชอบเหมือนเดิม ก็เลยไม่พลาดซื้อทั้งฟินแลนด์ฯ และหัดเยอรมัน เก็บไว้เป็นซีรีย์เลย ซื้อหนังสือคราวนี้เฉลี่ยเล่มละ 200 บาท แนวท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ ถูกที่สุด น่าจะเป็นหนังสือนิทานเด็กเล่มละ 10บาท ซื้อไปบริจาค
ms chom ^^ : ปกติจะไปงานหนังสือเป็นประจำ เฉพาะงานนี้ก็ไป 6 วันค่ะ มีไปวันเปิดงานวันเปิดตัวหนังสือ และวันมีอบรมสัมมนา ส่วนมากไปช่วงเช้าเลย เพราะจากประสบการณ์ หากไปตอนบ่ายหรือเย็นกว่านั้น จะไม่มีที่จอดรถ และคนจะเยอะมาก แต่ปีนี้พลิกผัน ทุกคนคงคิดเหมือนกัน ไปตอนเช้ากลายเป็นไม่มีที่จอดรถซะงั้น อยากได้ที่จอดต้องมาเช้ากว่าคนอื่น มาพร้อมคนจัดงานเลยทีเดียวค่ะ ...ทุกปีจะซื้อหนังสืออยู่ 3 ประเภท คือ การ์ตูน นิทานสำหรับเด็ก และพ็อคเก็ตบุ๊คสารคดี แต่ปีนี้พิเศษหน่อย มีแอบซื้อวรรณกรรมไปอ่านเพิ่ม ถ้าเป็นการ์ตูนก็ต้องโคนัน จากวิบูลย์กิจ หากเป็นนิทานสำหรับเด็ก ต้องชุดนิทานแสนรักจากนักเขียนเอก 1 ชุดมี 12 เล่มจาก 12 นักเขียน คือ "พระเวสสันดร พระชาติแห่งการให้" เขียนโดย ท่านว.วชิรเมธี, "ดวงดาวฝันดี" เขียนโดย น้านกฮูก ซื้อจากแปลน ฟอร์ คิดส์ และพ็อคเก็ตบุ๊คทุกเล่มของคุณอรสม สุทธิสาคร จากสารคดีเมืองโบราณค่ะ
HyPeR MonKeY
: ได้ไปเดินงานหนังสือวันจันทร์ที่ 19 ต.ค. ประทับใจงานหนังสือครั้งนี้
คือการได้เห็นผู้คนใช้ถุงผ้า กระเป๋าผ้าไปซื้อหนังสือกันมากขึ้น แม้ผู้คนจะน้อยกว่าที่คิด
แต่จิตสำนึกการรักโลกและดูแลสิ่งแวดล้อมดูเหมือนมีมากขึ้น ชอบมุมที่ห่อหนังสือให้เป็นของขวัญสวยๆ
มาก มันทำให้หนังสือดูมีค่าและแทนความรู้สึกดีดีได้มาก อีกส่วนที่ชอบคือบริการไปรษณีย์
เห็นคนจำนวนมากไปซื้อหนังสือแล้วไม่หอบกลับบ้าน แต่ส่งทางไปรษณีย์แทน เป็นการสะดวกอย่างมากหากต้องไปธุระที่อื่นต่อ
หนังสือเล่มที่รู้สึกชอบมากที่สุด คือหนังสือภาพชื่อ
"Memories for You" ผู้แต่งคือ "หยอย" เพราะเป็นหนังสือที่บอกความรู้สึกมากมาย
ไม่ใช่เพียงแค่การอ่านตัวอักษรทำจากเส้นบิดเบี้ยวโค้งไปมา แต่มีภาพที่ประกอบเต็มไปด้วยเส้นสีและทีแปรง
ให้ได้จิตนาการตามไปด้วยได้กว้างไกลยิ่งขึ้น ที่สำคัญ มันไม่ใช่เพียงลายเส้นการ์ตูนให้เด็กอ่าน
แต่มันแฝงความอบอุ่นและโรแมนติกมากมาย แค่ได้ดูภาพ ยังไม่ทันอ่านข้อความบรรยาย
ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหลือเกินแล้ว ลดแล้วเหลือราคาเล่มละ 208 บาท ส่วนที่ถูกที่สุดคือหนังสือเล่มเล็กๆ
แนวธรรมมะและปรัชญาชีวิตแนวใหม่จากบูธ "ห้องสมุดบ้านอารีย์"
เล่มละ 10 บาท ซื้อมา 10 เล่มแน่ะครับ มีภาพการ์ตูนประกอบทุกเล่ม เขาย่อเอาแต่เนื้อหาสำคัญให้ฉุกคิด
จากเล่มใหญ่มาทำเป็นเล่มเล็ก รายได้จากการขายก็นำไปทำบุญ เวลาเราซื้อ จะเอากี่เล่มก็เอาเงินใส่ตู้บริจาคไปเท่านั้น
ผมว่าเป็นแนวคิดที่น่ารักดีครับ และที่สำคัญ ทุก 10 บาทที่เราจ่ายไป เรามั่นใจได้ว่า
หัวใจของเราและผู้คนที่เรามอบหนังสือเหล่านี้ให้ คงอบอุ่นและมีความสุข
แต้ว บอกอ MODEL : ไปมา 2 วัน คืออาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม ตั้งใจไปซื้อ Box Set นิยาย twilight ของ สนพ.ปราชญ์เปรียว คนเยอะมากเหมือนแทบทุกปี ผ่านบูธ Workpoint เจอตุ๊กกี้ มาขายหนังสือ Ugly Tukky จริงๆ ไม่ค่อยชอบหนังสือแบบนี้หรอก แต่ความที่ชอบตุ๊กกี้ เลยอยากได้ลายเซ็นไปให้คนที่บ้านดู แล้วก็เดินไปซื้อการ์ตูนของ สยามคอมมิคส์ เพราะเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศฝากมาซื้อการ์ตูน เรื่อง มฤตยูสีน้ำเงิน 11 เล่ม
เข้าใจว่างานหมดวันศุกร์ที่ 23 แต่พอรู้ว่างานจบวันที่ 25 เลยหยุดซื้อเท่านี้ เพราะหนักมากกกก
วันที่ 25 เลยมาอีกวันวันสุดท้าย เพราะยังหาการ์ตูนอีก 2 เรื่องไม่ได้ คือ แคนดี้ กับ มูน พระจันทร์สีเลือด มาเจอที่ ร้านเมืองหนังสือ หนังสือการ์ตูนเล่มใหญ่ 12 เล่ม หนักมากๆ บรรยากาศงานหนังสือ ที่เห็นเหมือนทุกปีคือ การที่ให้พนง.ขาย แหกปากตะโกนเรียกร้องความสนใจ เหมือนเชียร์มวย บอกตรงๆว่า ไม่ชอบ หนวกหู และรำคาญ เป็นการสร้างสีสันได้น่ารำคาญที่สุด
หนังสือเล่มที่ประทับใจเหรอ ฮ่าๆๆ หนังสือ Ugly Tukky มั้ง เล่มละ 100 บาท ได้ลายเซ็นตุ๊กกี้มาอวดคนที่บ้าน ถ่ายรูปมาด้วย
|
|
|
smilehand : คิดว่าปีนี้ บรรยากาศของงานเป็นไปด้วยความอ้างว้าง เนื่องจากแต่ละบูธไม่มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ทำให้รู้ว่าการเตรียมตัวจัดงานครั้งนี้ยังไม่เต็มที่นะครับ ผู้คนรอบข้างที่เดินในงานที่ได้ยินมาต่างขอกลับ เพราะบอกว่าสีสันหายไปเยอะ ผมก็รู้สึกเสียดายมากๆ ถึงมากที่สุดครับ
หลังจากใช้เวลา 3 วัน
วันละ 4 ชั่วโมงต่อวัน รวม 12 ชั่วโมงได้ เดินทั่วงานทุกซอกทุกมุมที่มีบูธหนังสือตั้งอยู่
กลับพบว่าทั้งรอบเช้าและรอบค่ำ จำนวนผู้คนแทบไม่ได้แตกต่างกัน แล้วเด็กๆ
ที่มาซื้อหนังสือในปีน ี้ไม่หนาแน่นเหมือนปีที่ผ่านมา ไปซื้อหนังสือคราวนี้ตั้งใจไปหาเกี่ยวกับ
การสอนการเล่นดนตรี คิดว่าน่าจะมีหนังสือแปลกๆ จำนวนมาก แต่ก็ค่อนข้างผิดหวังครับ
เพราะแต่ละบูธที่ขายเป็นหนังสือซ้ำกันส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถเห็นได้ตามร้านหนังสือทั่วไปอยู่แล้ว
ที่ได้มาส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสือลิขสิทธิ์ IS SONG BOOK ที่ค่อนข้างจะไม่ซ้ำใคร
ก็ถือว่าประทับใจระดับหนึ่งครับ ซื้อมาแพงสุดเห็นจะเป็น Year Book เป็นการรวมเพลงยุค
50 ที่ค่อนข้างหายากและราคาประมาณ 220 บาท
{M}-มดนะจ๊ะ
: ปีนี้ไม่ได้ไปครับ ติดภาระกิจ แต่ฝากเพื่อนซื้อหนังสือเรื่อง
"เขาเรียกผมว่า บร๊ะเจ้า" ของโจ๊ก โซคูล ได้ติดตามผลงานเพราะพันทิป
ก็มีส่วนทำให้เขาได้เขียนเล่มนี้ขึ้นมาครับ
Amecchi
: ได้ไปงานหนังสือเกือบวันสุดท้ายแล้วค่ะ วันที่ 24 ตอนแรกคิดว่าคนเยอะแน่ๆ
เพราะไปช่วงเวลานี้ทีไรคนมากมายตลอด แต่คราวนี้ผิดคาด คนไม่น้อยแต่ก็ไม่เบียด
เดินสบายมาก นั่นคือความประทับใจแรก ปกติแล้วก่อนจะไปงานหนังสือ จะจดชื่อสำนักพิมพ์กับบูธเตรียมไว้
จะได้วางแผนว่าจะเดินไปตรงไหนก่อน แถมหนังสือที่ต้องการยังได้ครบ ไม่ต้องเดินสุ่ม
อีกอย่างที่ประทับใจก็คือเจ้าหน้าที่ ตอนเรานั่งพักอยู่มีคนมาเสนอขายโปสการ์ดพร้อมคนวาด
เค้าพูดดีนะคะแต่เราก็ยังแอบกลัวไม่ได้ แต่ดีที่เจ้าหน้าที่เข้ามาทันที
พร้อมทั้งชี้แจงให้เค้าได้รับทราบว่ามันผิดกฏของทางงาน อีกอย่างก็คือสถานที่การจัดวางแผนผังสำนักพิมพ์ปีนี้ดีมาก
สำนักพิมพ์ไหนที่คนเยอะๆ ก็กระจายๆ กันไป ไม่รวมเป็นกระจุก ทำให้เดินสะดวกไม่ติดขัด
หนังสือเล่มที่ประทับใจยกให้ "อาจารย์ในร้านคุกกี้" ของคุณนิ้วกลม สำนักพิมพ์มติชน ยังอ่านไม่จบหรอกค่ะ แต่ถ้าเป็นหนังสือของพี่นิ้วกลมแล้วไม่เคยทำให้ผิดหวัง จึงไม่ลังเลที่จะยกตำแหน่งนี้ให้ตลอดกาล (อวยกันเห็นๆ!!) ถ้าเล่มที่กำลังอ่านอยู่ก็ "หัดเยอรมัน" ของคุณใบพัด สำนักพิมพ์อะบุ๊ค เคยอ่านเล่มแรกของคุณใบพัดแล้วติดใจในสำนวนและแนวคิด ผู้ชายติ๋มๆ จะไปตะลุยแบบติ๋มๆ ที่ต่างแดน ทำให้ได้แรงบัลดาลใจค่ะว่าเราเองก็ไปได้แบบเค้า
yog_bf
: ไปเดินงานมาวันเดียวครับ อังคารที่ 20 ต.ค. เลือกวันนี้เพราะคนน้อยครับ
ยอมลางานไป เดินสบายๆ มีเวลาเดินทั้งวันตั้งแต่เที่ยงยันงานเลิก ประทับใจหนังสือ
"เดอะบริดจ์" สนพ. โอเพ่นบุ๊คส์ ที่รวมบทสัมภาษณ์และภาพถ่ายฝีมือของคุณรงค์
วงษ์สวรรค์ ภาพสวย เนื้อหาดี รูปเล่มงาม แต่แพงไป รอไว้งานหน้าลดราคากว่านี้ครับ
และหนังสือชุดของ เดล คาร์เนกี้ สามเล่ม 600 บาท เป็นเซตกล่อง อยากได้
แต่ยังไม่มีเงินครับ หนังสือเล่มที่แพงสุดที่ซื้อมาคือ "ที่เกิดเหตุ"
(พิมพ์ครั้งที่ 3) ของ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ลดเหลือ 165 บาท ส่วนถูกสุดคือหนังสือธรรมมะของพระอาจารย์
มิตซูโอะ ราคา 10 บาท เล่มเล็กๆ อ่านเพลินๆ เสียดาย ซื้อมาไม่ครบ 12 เล่ม
12 ปี ไปงานแบบนี้มักไปรื้อดูหนังสือลดราคา โละราคาน่ะครับ บางทีได้หนังสือดีๆ
มาในราคาย่อมเยา
film_ball
: ไปเกือบทุกวัน ชอบบรรยากาศของงานสัปดาห์หนังสือ ที่มีคนมาเลือกซื้อหนังสือเยอะๆ
ดูแล้วสบายใจ เพราะการอ่านหนังสือเป็นเรื่องที่ดี ปีนี้เท่าที่สังเกตเห็น
มีเด็กมาซื้อหนังสือเพิ่มขึ้นมากกว่าทุกปี ชอบหนังสือ Beautiful Creature
เพราะชอบหนังสือแนวความรัก เวทมนตร์คำสาป และก็ติดตามผลงานของปราชญ์เปรียวสำนักพิมพ์
ตั้งแต่หนังสือชุดทไวไลท์แล้ว
onsky
: ไปช่วงวันแรกและวันสุดท้ายของงาน เพราะว่าวันแรกๆ หนังสือจะมีให้เลือกเยอะมาก
และสามารถเลือกได้ ส่วนวันสุดท้ายไปเก็บตก เพื่อดูหนังสือเทขายแบบล้างสต็อกสินค้า
เพราะจะได้ราคาถูกมากๆ ค่ะ ส่วนใหญ่คนจะเยอะเป็นประจำทุกปี สังเกตว่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีใจรักการอ่าน
และสนใจหาหนังสือเพื่อเพิ่มพูนความรู้เป็นประจำค่อนข้างเยอะ... เป็นที่น่ายินดีตรงที่ว่าคุณพ่อ
คุณแม่ก็จูงลูกๆ มาเลือกซื้อหนังสือทำให้เกิดนิสัยรักการอ่านในอนาคตได้ค่ะ
เป้าหมายของการไปซื้อหนังสือครั้งนี้จริงๆ
คือ มติชน และ Thaipost ค่ะ ชอบหนังสือของสำนักพิมพ์นี้หลายเล่ม และค่อนข้างแนวคนทำงาน
ผู้ใหญ่ๆ หน่อยค่ะ ประทับใจทุกเล่มที่ซื้อมา เช่น หนังสือธนาคารของคนจน
หรือ มอง CEO โลกแบบวิกรม 2 เล่มนี้ค่อนข้างชอบและน่าสนใจมาก ดิฉันซื้อมาครบ
Set ของหนังสือเลย ซื้อแพงที่สุดคือบูธมติชน หนังสือรวมเล่มของเศรษฐศาสตร์ของชีวิต,
ธนาคารของคนจน, หนังสือเศรษฐศาสตร์ ราคารวม 1,200 บาทค่ะ ไป 2 วันหมดไปประมาณ
2,000 บาท
ยายปลุก...มาแว้ว...
: ไปเดินงานหนังสือ 3 วัน แต่ไปเพียงไม่นาน
เพราะคนมาเดินดูและซื้อหนังสือมาก สิ่งที่ประทับใจคือเด็กๆ สนใจหนังสือมากขึ้น
เด็กและผู้ใหญ่เป็นจำนวนมากเข้ามาเดินดูและเลือกซื้อหนังสือ ปีที่แล้วนิยายเล่มที่ต้องการยังไม่ลดราคา
แต่ปีนี้บางเล่มลดลงกว่า 60% ทำให้ได้เลือกซื้อได้มากขึ้น และมีนิยายใหม่ที่น่าอ่าน
ซึ่งแต่ละร้านหนังสือได้นำมาเสนอให้ได้เลือกซื้อไปอ่าน หนังสือเล่มที่ประทับใจเป็นนิยายสั้นชื่อ
อุบัติเหตุรัก ณ ปลายขอบฟ้า ของ ชญากานท์ เป็นนิยายสั้นที่เคยลงเป็นเรื่องสั้นในเว็บไซต์เด็กดี
ซึ่งตัวเอกฝ่ายชาย ผู้แต่งอิงมาจากนักร้องชื่อดังของเกาหลีวงหนึ่ง ซึ่งเป็นวงโปรดจึงได้เลือกซื้อมาเก็บไว้
กัมม์ : งานมหกรรมหนังสือครั้งนี้ ผมไม่ได้ไปเลยครับ เพิ่งกลับจากต่างจังหวัด แต่หนังสือที่เสียเงินซื้อราคาแพงที่สุดคือ บุเรงนองกยอดินนรธา ของอาจารย์สุเนตร ราคาร้อยกว่าบาทแต่ไม่คุ้มราคา ส่วนราคาถูกที่สุดคือ ชุดประชุมพงศาวดาร จากศึกษาภัณฑ์ ๒๘ เล่ม เล่มละ ๑๔ บาท สำหรับความรู้ที่ได้รับ เล่มละหนึ่งพันก็ยังนับว่าราคาถูกครับ
|
 |