สวัสดีสมาชิกทุกท่าน

หลายวันก่อน มีคนถามว่า "ทำไมคนในเว็บบอร์ดชอบ ตามน้ำ"
ผู้เขียนก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าอะไรทำให้คนตามน้ำ

พฤติกรรมของมนุษย์นั้น มักเป็นไปตามบรรทัดฐานของกลุ่มที่ยอมรับกันทั่วไป

อันที่จริงนั้น กลุ่มที่ "ไม่ตามน้ำ" ก็มีอยู่... มีทั้งกลุ่มที่เป็นตัวของตัวเอง และกลุ่มที่ชอบการต่อต้าน

หากอาการ "ตามน้ำ" ไม่ได้เกิดจากการที่คนเรามีความคิดเห็นตรงกัน ก็คงเป็นวิธีที่คนเราใช้ในการป้องกันตนเอง และเลี่ยงความขัดแย้งได้อย่างหนึ่ง

มนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ถ้า "ความคิดเห็น" หรือ "วิธีการแสดงออก" ของใครต่างไปจากคนส่วนใหญ่ ก็คงไม่แปลกที่จะถูกเสียดสีหรือขับไล่ออกจากสังคม

มีคนถามต่ออีกว่า "ทำไมกระทู้แนะนำมีแต่เรื่องไร้สาระ"
อันนี้คงต้องถามกลับว่า "นั่นสิ ใครโหวต?"

กระทู้แนะนำจะเป็นเรื่องมีประโยชน์หรือน่าสนใจอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับสมาชิกส่วนใหญ่ในห้องนั้นต้องการ เมื่อคนคอเดียวกันมาอยู่ด้วยกัน คิดอย่างไรกระแสมันก็เป็นไปอย่างนั้น

นี่แหละ รสชาติของเว็บบอร์ด

ในมุมของสังคมออนไลน์ การคล้อยตามนั้นมีประโยชน์ในแง่ที่ทำให้สังคมนั้นเข้มแข็งและไม่ถูกดูดกลืน ...ข้อโต้แย้งต่างๆ มักถูกสรุปด้วยวิธีการไม่กี่อย่าง หากไม่ใช่การวิเคราะห์ อันมาจากการศึกษาหรือวิชาการแล้ว มนุษย์เราก็มักตัดสินเอาจากสามัญสำนึก ศีลธรรมจรรยา และวัฒนธรรมที่เป็นที่ยอมรับในสังคมนั้นๆ

พบกันใหม่ฉบับหน้า


* แนะนำบริการหรือแจ้งปัญหา Cafe & BlogGang ติดต่อผ่านช่องทางใหม่ได้ที่ คลิก

* เสนอแนะ ติชมในส่วนของรูปแบบและบทความของ The Espresso ฉบับต่อๆ ไป ติดต่อผ่านทางอีเมล sayanan@pantip.com


     อัพเดตกิจกรรมการมอบเงินบริจาคของชาวพันทิปและ CLM Mag จากห้องเฉลิมไทย สมาชิกทั้งหมด 14 คน เดินทางไปยังโรงพยาบาลปศุสัตว์และสัตว์ป่า จ.กาญจนบุรี เพื่อมอบเงินบริจาคแก่มูลนิธิช้างแห่งประเทศไทย หน่วยงานที่ร่วมดูแลช้างพังกาญจนา เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ที่ผ่านมา ด้วยยอดบริจาคเงินรวมทั้งสิ้น 197,171.96 บาท

     คิรัว "ขอบคุณชาวพันทิปและดีใจมาก ตอนแรกมีเงินบริจาคอยู่ราวๆ 29,000 บาท ก็คุยในกัน CLM ว่าจะนำไปทำบุญ ติดต่อไปยังบ้านเด็กต่างๆ แต่เนื่องจากว่าต้องมีการจอง ก็เลยหันไปมองเรื่องการช่วยเหลือสัตว์ เจอข่าวช้างพังกาญจนาก็เลยสนใจ สาเหตุที่เลือกพังกาญจนา ก็เพราะว่ากำลังตั้งท้องอยู่ ถ้าช่วยพังกาญจนาก็เหมือนกับได้ช่วย 2 ชีวิตพร้อมๆ กัน ก็เลยมาตั้งกระทู้ปรึกษากับสมาชิกและลงไปดูพื้นที่กัน

     สำหรับอาการของช้างพังกาญจนานั้น ได้รับการเยียวยาและฟื้นฟู ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจได้ดีขึ้นมาก ไม่กลัวคนแล้ว แผลตามร่างกายก็ดีขึ้นมาก ขนาดลูกช้างในท้องที่โตขึ้นเป็น 2 เท่าจากการอัลตราซาวน์ครั้งก่อน รวมถึงมีการเต้นของหัวใจลูกช้างแล้ว"

     สำหรับสมาชิกท่านอื่นที่อยากช่วยช้าง สามารถติดต่อไปยังหน่วยงานอื่นๆ ได้ ในเรื่องของการทำกิจกรรม ทำโป่งเทียม อย่างเมื่อวันที่ 5 ก.ย. ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้พาไปช่วยขนกระดูกช้างที่เสียชีวิตแล้วไปตาก คุณหมอหนุ่ยและคุณหมอเอกสิทธิ์ ก็พาไปศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยกาญจนบุรี "บ้าน ช.ช้างชรา" ไปปลูกพืชที่เป็นอาหารช้าง อาบน้ำให้กับช้างชรา ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุประมาณ 55-59 ปี ปัจจุบันศูนย์อนุรักษ์ช้าง บ้านช.ช้างชรา ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปจัดกิจกรรม  เช่น แค้มป์ปิ้ง ปลูกพืชเลี้ยงช้าง อาบน้ำให้ช้าง เพื่อหารายได้เข้าศูนย์ หากสมาชิกคนใดสนใจปลูกป่าอาหารช้าง อยากใกล้ชิดกับช้าง ไม่ต้องการให้ช้างเข้ามาเร่ในกรุงเทพ  ก็สามารถไปสนับสนุนได้ ตามความสมัครใจค่ะ"

     การเดินทางครั้งนี้บรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ซึ่งนอกจากจะได้เยี่ยมช้างพังกาญจนาแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิช้างแห่งประเทศไทยยังได้พูดคุย ทำความเข้าใจ และให้ความรู้เกี่ยวกับช้าง ไม่ว่าจะช้างเร่ ช้างป่ากินผลผลิตของชาวไร่ และปัญหาอื่นๆ โดยเฉพาะปัญหาในเรื่องของช้างเร่ร่อนกับอาชีพควาญช้าง ซึ่งช้างที่ถูกนำมาเดินในเมืองนั้นที่จริงแล้วมีทั้งที่มีใบอนุญาตและผิดกฎหมาย หลายคนมีมุมมองว่าควรจะนำช้างกลับสู่ภูมิลำเนา แต่อันที่จริงแล้วนั้นควาญช้างนั้นคืออาชีพหนึ่ง อีกทั้งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์นั้นมักอยู่ในแถบชานเมือง ความคิดที่ว่าจะจับช้างเร่ร่อนนั้นกลับถิ่นภูมิลำเนานั้นอาจไม่เป็นผลดีเสมอไป

 
 


จากการที่ได้ตีพิมพ์หนังสือออกมาหลายเล่ม คุณเห็นอะไรเป็นปัญหาใหญ่ๆ ของตลาดหนังสือไทยบ้าง เมื่อเทียบกับงานเขียนออนไลน์ …

Clear Ice : "ถ้าจะบอกว่าปัญหาของตลาดหนังสือไทยในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเกิดจากตลาดงานเขียนออนไลน์ จะโดนโห่ไหมเนี่ย (หัวเราะ) ในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา มีสำนักพิมพ์เกิดใหม่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสำนักพิมพ์ใหม่จริงๆ หรือสำนักพิมพ์เก่าแตกไลน์ออกมา เพื่อตีพิมพ์ผลงานร่วมสมัยหรือนิยายแนววัยรุ่น แน่นอนว่าเมื่อมีสำนักพิมพ์เพิ่มมากขึ้น ความต้องการ “ต้นฉบับ” ก็ต้องมากขึ้นตามไปด้วย งานเขียนออนไลน์เป็นแหล่งผลงานที่หลายๆ สำนักพิมพ์ให้ความสนใจ ...

      เมื่อก่อนตอนที่ยังมีจำนวนสำนักพิมพ์ไม่มาก การคัดกรองงานเขียนนั้นเข้มงวด การที่ผลงานจะผ่านบรรณาธิการจนได้รับการตีพิมพ์นั้นไม่ง่าย แต่สำหรับปัจจุบันนี้ หลายสำนักพิมพ์มีความต้องการต้นฉบับมาก หลายๆ คนพูดว่า "เขียนจบก็ตีพิมพ์ได้แล้ว" เพราะการคัดกรองผลงานไม่ได้เข้มงวดเท่าเมื่อก่อน ผลที่ตามมาก็คือ คุณภาพโดยรวมของหนังสือในตลาดหนังสือไทยลดลง หลายๆ เรื่องขาดความสมจริง หลายๆ เรื่องใช้เซ็กส์เป็นส่วนประกอบหลักของเรื่องทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น หลายๆ เรื่องนักเขียนขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นในด้านศีลธรรมหรือวัฒนธรรม การเขียนงานออนไลน์ ผู้เขียนอาจจะเขียนเอาสนุก เขียนตามใจ ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบอะไรมากมาย ซึ่งมันก็เป็นปัญหา แต่เป็นปัญหาอยู่ในสังคมออนไลน์ ซึ่งแคบกว่าการนำไปตีพิมพ์เผยแพร่เป็นเล่มๆ แน่นอน"

ลวิตร์ : "ไม่แน่ใจว่าจะเรียกงานเขียนออนไลน์เป็น "ตลาด" ได้หรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีผลประโยชน์เงินทองเข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งที่ได้รับในงานเขียนออนไลน์จะเป็นอย่างอื่น เช่น คำวิจารณ์ คำชื่นชม ชื่อเสียง การยอมรับ แบบนี้มากกว่า

      แต่ถ้าเทียบงานออนไลน์กับงานขายจริง ก็จะมีจุดแตกต่างกัน คือเมื่อเป็นสินค้าแล้ว ย่อมต้องพยายามให้เป็นของที่ขายได้ ดังนั้นอัตราการลองผิดลองถูก ลองงานแนวใหม่ๆ หรือบุกเบิกตลาดใหม่ จึงต่ำกว่ามาก ส่วนใหญ่แล้วจะเห็นว่าตลาดเกิดในออนไลน์ มีคนอ่านให้เห็นก่อน แล้วจึงกลายเป็นสินค้าสำหรับขาย เพราะคนเห็นว่าขายได้ ส่วนตัวจึงคิดว่าทั้งสองช่องทางนี้ต่างส่งเสริมซึ่งกันและกันค่ะ"

เป็นไปได้ไหมที่จะมีการทำนิยายออนไลน์แบบเสียเงินอ่าน ...เพราะบางคนมองว่านิยายออนไลน์คือของฟรี พอต้องเสียเงินก็จะไม่อ่าน คุณคิดเห็นอย่างไร?

Clear Ice : "เป็นไปได้ค่ะ แต่จะต้องแน่ใจว่า "คุณภาพ" ของผลงานนั้นดีพอ ที่จะทำให้คนอ่านอยากเสียเงินอ่าน ซึ่งชื่อเสียงหรือผลงานเก่าที่เคยผ่านตาผู้อ่าน ก็น่าจะช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่แน่นอนกว่า ตลาดของนิยายออนไลน์ ก็จะจำกัดอยู่แค่ในสังคมออนไลน์ที่อ่านหนังสือเท่านั้น ซึ่งถ้าเทียบกับประชากรไทยทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่สัดส่วนที่มากมายอะไร อีกอย่างนักเขียนออนไลน์ที่เก็บเงินนักอ่าน ก็จะต้องต่อสู้กับนักเขียนออนไลน์อีกมากมาย ที่เขียนให้อ่านฟรีด้วย"

ลวิตร์ : "ยากมากเลยค่ะ นักเขียนใหญ่อย่างสตีเฟน คิง ก็เคยทำมาแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะปัจจัยหลายอย่างมันละเอียดอ่อนมาก"

ความคิดเห็นเกี่ยวกับวงการวรรณกรรมออนไลน์บ้านเรา วัฒนธรรมของนักอ่าน เปรียบเทียบระหว่างการอ่านหนังสือเล่ม กับการอ่านออนไลน์

Clear Ice : "เมื่อ 4-5 ปีก่อนนี้ สัดส่วนผลงานออนไลน์ ที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นเล่มนั้น มีน้อยกว่าในปัจจุบันนี้มาก ปัจจุบันนี้แทบจะเป็นว่า หลายๆ เรื่องที่เขียนจบมีสิทธิ์ได้ตีพิมพ์กันทั้งนั้น ทำให้วัฒนธรรมของผู้เขียน และผู้อ่านวรรณกรรมออนไลน์เปลี่ยนไปด้วยค่ะ ตามความเข้าใจของตัวเอง ผู้อ่านวรรณกรรมออนไลน์ในปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าถูกผิดยังไงนะคะ

     กลุ่มแรก คือ อ่านนิยายออนไลน์เท่านั้น อ่านจบแล้วไม่ซื้อหนังสือหากได้รับการตีพิมพ์ ... เป็นกลุ่มผู้อ่านที่รู้สึกว่าอ่านจบแล้วก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อหนังสือมาอ่านซ้ำอีก สำหรับนักอ่านกลุ่มนี้ ถ้ามีการช่วยให้ความคิดเห็น วิจารณ์ ติ-ชม ก็เป็นกำลังใจอย่างดีสำหรับนักเขียนออนไลน์ค่ะ รู้อย่างนี้แล้วใครที่แอบอ่านแบบไม่เคยลงชื่อ ช่วยส่งรอยยิ้มให้นักเขียนชื่นใจบ้างนะคะ (ยิ้ม)

     กลุ่มที่สอง คือ อ่านนิยายออนไลน์ และซื้อหนังสือหากได้รับการตีพิมพ์ ... เป็นกลุ่มผู้อ่านที่บางคนอาจจะอ่านนิยายจนจบเรื่อง ชอบแล้วอุดหนุนเมื่อได้รับการตีพิมพ์เป็นเล่ม หรือบางคนอ่านจะลองอ่านแค่ไม่กี่บท แล้วค่อยอุดหนุนและอ่านให้จบรวดเดียวเมื่อตีพิมพ์เป็นเล่ม แน่นอนว่านักอ่านกลุ่มนี้ทำให้นักเขียนปลื้มใจเป็นที่สุด เพราะนักอ่านให้ความเชื่อใจในผลงาน บางคนถึงแม้ว่าจะอ่านแล้วก็ยังอยากเก็บเอาไว้ เป็นกำลังใจชั้นดีที่สุดสำหรับนักเขียนออนไลน์แล้วค่ะ

     การอ่านหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นเล่ม ผู้อ่านจะต้องเสียเงินซื้อหนังสือมาอ่าน ดังนั้นก็น่าจะมีการคัดเลือกและพิจารณา ในการซื้อหามากกว่า มีความคาดหวังมากกว่า แต่สำหรับนิยายออนไลน์ที่อ่านได้ฟรีนั้น ผู้อ่านย่อมมีความคาดหวังน้อยกว่า ยกเว้นกรณีที่ผู้เขียนเคยมีผลงานเก่าๆ ที่ดีมากมาก่อน หรือผู้เขียนที่เคยมีผลงานตีพิมพ์มาแล้ว นอกจากนั้นการที่อ่านฟรีนั้น ผู้อ่านย่อมสามารถเลือกอ่านได้มากกว่า หลากหลายมากกว่า"

ลวิตร์ : "การอ่านออนไลน์จะ casual กว่ามาก อีกเรื่องหนึ่งที่สังเกตเห็นชัด คือ คนอ่านออนไลน์จะคาดหวังการได้อ่านรวดเดียวจบ อย่างหนังสือเล่มไม่ได้ เพราะบางทีคนเขียนก็ไม่มีเวลา นึกเรื่องต่อไม่ออก หรือหมดไฟ คนเขียนออนไลน์จำนวนไม่น้อยเขียนเป็นงานอดิเรก เมื่อไม่สามารถเขียนเรื่องต่อได้ด้วยเหตุผลต่างๆ ก็อาจจะเลิกเขียน หรือหยุดเขียนไปนานๆ เป็นเหตุให้นักอ่านหลายคน ใช้วิธีรอให้รวมเล่มดีกว่า จะได้อ่านทีเดียวเลย"

แล้ววัฒนธรรมของนักเขียนนิยายออนไลน์ล่ะ ถนนนักเขียนเมื่อก่อนกับปัจจุบันต่างกันไหม

Clear Ice : "ต่างกันมากๆ เมื่อก่อนทุกคนเข้ามาเพราะอยากเขียน อยากได้คำติชม อยากปรับปรุงผลงานของตัวเอง เพราะที่ถนนนักเขียนนั้น คุณจะได้รับการวิจารณ์ที่ตรงไปตรงมาและจริงจังมาก ไม่มีใครคิดว่าจะใช้พื้นที่ตรงนี้เข้ามาแจ้งเกิดตัวเอง หรือเพราะอยากตีพิมพ์ แต่ช่วงหลังวัฒนธรรมการเขียนเปลี่ยนไป อีกทั้งมีสำนักพิมพ์เปิดใหม่เยอะ มีความต้องการต้นฉบับมากขึ้น และด้วยความที่นิยายออนไลน์มันบูมมาก บางสำนักพิมพ์ซึ่งอาจจะมีนักเขียนอยู่แล้ว ก็เข้ามาใช้พื้นที่ตรงนี้ในการแจ้งเกิด ให้นักเขียนของตัวเองเอางานมาโพสต์ เพื่อให้เป็นที่รู้จักก่อนจะนำไปตีพิมพ์"

ลวิตร์ : "คิดว่ามีความหลากหลายแตกต่างกันไปแต่ละเว็บไซต์ และแต่ละแนวเรื่องที่เขียน อีกอย่างหนึ่งคือบางคนที่ตีพิมพ์รวมเล่มแล้ว ก็อาจจะมีลักษณะการทำงาน ต่างไปจากคนที่เป็นนักเขียนออนไลน์อย่างเดียว

     เคยสงสัยเหมือนกันว่าการเขียนงานออนไลน์ จะกระทบกับรูปแบบการเขียนไหม แต่ในที่สุดส่วนตัวก็คิดว่า ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของคนเขียนเองมากกว่า ถ้าคนเขียนเคยอ่านหนังสือเล่มมาก่อน ก็จะเขียนในรูปแบบเดียวกับหนังสือเล่ม ถ้าไม่เคยหรืออ่านหนังสือเล่มน้อย แต่รู้สึกอยากเขียน ก็จะยึดติดกับรูปแบบน้อยกว่า ในระยะหลังก็จะมีอีกกรณีหนึ่ง คนเขียนหนังสือที่อ่านหนังสือเล่มน้อย ก็เขียนแบบไม่ยึดติดรูปแบบ และมีคนอ่านอ่านหนังสือสไตล์ไม่ยึดติดรูปนี้ พอเวลาเขียนก็จะพลอยกลายเป็นเขียนแบบเดียวกันไปด้วย ไปๆ มาๆ จากที่ไม่มีรูปแบบ ก็อาจจะกลายเป็นรูปแบบใหม่ขึ้นมาก็ได้"

     ในรุ่นของคุณ ดูเหมือนจะเป็นช่วงที่มีนักเขียนออนไลน์ ผุดขึ้นมาไม่กี่คน คุณคิดเห็นอย่างไร จะแนะนำอะไรกับนักเขียนสมัครเล่นท่านอื่นๆ เกี่ยวกับการเขียนเพื่อให้ประสบความสำเร็จ และมีโอกาสได้ตีพิมพ์?

Clear Ice : "การโพสต์ผลงานลงในอินเทอร์เน็ตเป็นทางเลือกที่ดี ในการเผยแพร่ผลงาน นอกจากนั้นยังได้รับเสียงตอบรับ คำวิจารณ์ คำติชม จากคนอ่านโดยตรง ซึ่งสามารถนำเอาไปปรับปรุงผลงาน และนำไปเสนอต่อสำนักพิมพ์ได้

     สำหรับนักเขียนที่ยังไม่เคยตีพิมพ์ผลงานมาก่อน ก็แน่ใจได้ว่าจะมีผู้อ่านส่วนหนึ่งที่รู้จักและให้ความสนใจในผลงานชิ้นนั้นๆ ...ส่วนตัวคิดว่าเป็นสนามเริ่มต้นที่ดีมากค่ะ การเริ่มต้นงานเขียนง่ายที่สุด คือเขียนในสิ่งที่รู้จริง เขียนในสิ่งที่อยากเขียน ห้ามลอกเลียนผลงานของคนอื่นเป็นอันขาด ควรเขียนให้จบทีละเรื่อง เพราะจะทำให้เกิดกำลังใจว่าสามารถเขียนจนจบได้

     การส่งผลงานจะต้องดูให้แน่ใจว่า ส่งงานตรงแนวที่สำนักพิมพ์นั้นๆ รับตีพิมพ์ และอย่า "หว่านส่ง" เป็นอันขาด ส่งผลงานไปแล้ว อย่ามัวรีรอฟังผล เขียนผลงานเรื่องใหม่ทันที สำคัญที่สุดก็คือ นักเขียนควรจะต้องซื่อสัตย์ จริงใจ และรับผิดชอบงานเขียนของตัวเอง พยายามพัฒนาผลงานของตัวเองอยู่เสมอ ให้ความสำคัญกับคนอ่าน คิดถึงผลกระทบของงานเขียนของตัวเอง ที่มีต่อผู้อ่านและสังคม และที่สำคัญอย่าท้อถอยหากถูกปฏิเสธ แต่นำความคิดเห็นและคำวิจารณ์มาปรับปรุงผลงานต่อไป
นักเขียนเป็นอาชีพที่ต้องต่อสู้กับตัวเองมากที่สุดค่ะ เข้มแข็ง อดทน และพยายามนะคะ"

ลวิตร์ : "ส่วนตัวไม่เชื่อในการเขียนเพื่อให้ประสบความสำเร็จ หรือได้รับรางวัล เพราะคิดว่าเมื่อหวังอะไรอย่างนั้นแล้ว ความหมายแท้จริงในการเขียนหนังสือ ก็จะเสียไป เพราะไม่ได้หวังงานแต่หวังรางวัล ส่วนตัวคิดเสมอว่า ให้เขียนให้ดี ทำตัวเองให้ดีก่อน เมื่อเขียนดีแล้ว เมื่อพัฒนาไปไม่หยุดแล้ว สิ่งอื่นๆ จะตามมาเอง

     ก่อนนี้เมื่อตัวเองเริ่มเขียนนิยายเป็นชิ้นเป็นอันใหม่ๆ นั้น ไม่มีความหวังเลยว่าจะได้พิมพ์ เพราะตลาดหนังสือไทยยังแคบกว่านี้ และยังไม่มีการตื่นตัวเรื่องช่องว่างทางการตลาดหลายๆ ช่อง ตอนนั้นเป็นสมัยที่มีเว็บบอร์ดนักเขียนแรกๆ คือ "ถนนนักเขียน" ของพันทิป ...คิดว่าการที่เราตัดสินใจโพสต์เรื่องลงในบอร์ดพันทิปในตอนนั้น เป็นเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เราสามารถเขียนต่อมาจนถึงตอนนี้ได้ ตอนนั้นถ้าหากไม่โพสต์ ก็ไม่เกิดปฏิสัมพันธ์กับคนอ่านอื่นๆ ไม่ทราบว่าจะมีคนอ่านเรื่องอย่างนี้หรือไม่ ไม่ทราบว่านิยายของเราดีหรือไม่ดี การโพสต์ทำให้เราสามารถมีตัวตนในโลกของการเขียนได้ แม้ว่าจะไม่ได้ตีพิมพ์ ก็ยังไม่ต้องเก็บไว้อ่านเอง

     สมัยก่อนจะมีอินเทอร์เน็ต คงมีคนหลายคน ที่ปล่อยให้ความอยากเขียนของตัวเองตายไป เพราะไม่รู้ว่าจะแสดงมันออกมา ให้คนอื่นเห็นได้อย่างไร อีกอย่างหนึ่งก็คือ เว็บบอร์ดเป็นที่ที่ให้อิสระเกือบเต็มที่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกลัวการทดลอง คงคล้ายๆ กล้องดิจิตอล ที่ทำให้คนถ่ายรูปมากขึ้น จนถึงเดี๋ยวนี้ เราก็ยังใช้บอร์ดเป็นที่ทดลอง ทำอะไรเล่นใหม่ๆ เพื่อจะดูว่าคนอ่านจะว่าอย่างไรเสมอ

     อินเทอร์เน็ตมีส่วนสำคัญที่ทำให้ตลาดหนังสือโตขึ้น คงมีคนไม่น้อยบ่นเรื่องตลาดหนังสือทุกวันนี้ แต่คิดว่าเราควรจะมองดีๆ และมองยาวๆ ไม่มีอะไรที่จะหยุดอยู่กับที่ได้ และไม่มีอะไรที่จะอยู่ถาวรตลอดไป แต่อะไรที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ก็แสดงว่ามันคงทนอยู่กับที่ไม่ได้ เมื่อมันคงทนอยู่ที่ไม่ได้ เราก็ควรจะมองมันอย่างฉลาด มองด้วยความเข้าใจให้ถึงแก่น ไม่ใช่หวาดกลัวจึงไม่กล้ามอง มองว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งคุกคามต้องติเตียนไว้ก่อน หรือมองว่าเป็นเรื่องเฉพาะหน้าอย่างเดียว เชื่อว่าไม่ว่าเป็นสถานการณ์อะไร หรืออยู่ที่ไหน ทุกคนจะได้ผลดีร่วมกันหมด ถ้าหากเรามองอะไรยาวๆ

     ถามว่าข้อเสีย มีอย่างไร เท่าที่เห็นมา ก็มีหลายกรณี ถามใครๆ ก็ตอบได้ อินเทอร์เน็ตทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ความมั่ว" (chaos) อย่างยิ่งขึ้นมา เป็นพื้นที่ที่ควบคุมได้ยาก เกิดพฤติกรรมทั้งดีทั้งเลวขึ้นมาปะปนกันไปหมด แต่ก็คิดว่า การให้อิสระก็ดีกว่าการบังคับไว้จนไม่มีอะไรโตเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย.."

 
     

     "ถนนนักเขียน" มุมเล็กๆ ภายใต้สภากาแฟแห่งใหญ่ของพันทิป ที่นี่เปรียบเสมือนคลังงานเขียนและบทประพันธ์ และแหล่งรวมตัวของเหล่านักเขียนและนักอ่าน ทั้งนักเรียน นักศึกษา รวมถึงบุคคลจากหลากหลายสาขาอาชีพ เข้ามาพูดคุย นำเสนอผลงาน แลกเปลี่ยนความเห็น และวิพากย์วิจารณ์งานเขียน ...อย่างที่หลายๆ คนได้ให้คำจำกัดความที่แแห่งนี้ไว้ว่าเป็น "แหล่งเพาะพันธุ์นักเขียนหน้าใหม่"

     ...กฎกติกามารยาทของถนนนักเขียน มีอยู่ว่า ห้ามแตกงานเขียนเกิน 1 กระทู้ เพื่อไม่ให้นักเขียนเสียโอกาสในการแสดงผลงาน และนักอ่านก็จะไม่เสียโอกาสในการได้อ่านผลงานดีๆ ห้องถนนนักเขียนจึงไม่เหมือนห้องอื่นที่กระทู้ตกเร็วมาก

     The Espresso ฉบับนี้ชวนมาพูดคุยกับสมาชิก 2 ท่าน ท่านแรก "ดร.ภูวดี ตู้จินดา" เจ้าของล็อกอินและนามปากกา "Clear Ice" งานเขียน บทความ และงานแปลของเธอ ปัจจุบันถูกตีพิมพ์กว่า 30 เรื่องในหลายสำนักพิมพ์ เส้นทางงานเขียนของเธอนั้น เริ่มต้นจากห้องถนนนักเขียนเมื่อ 9 ปีก่อน ตั้งแต่การเขียนบทกลอน พัฒนามาเป็นเรื่องสั้น และเรื่องยาว โดยนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกเธอ ที่เขียนและได้รับความสนใจ คือเรื่อง “ฝากรักไว้...ในใจเธอ”

     อีกท่านหนึ่ง คือ "พัณณิดา ภูมิวัฒน์" หรือเจ้าของล็อกอินและนามปากกา "ลวิตร์" เธอเล่าว่าชอบการเขียนหนังสือตั้งแต่อยู่ป.4 และเป็นสมาชิกพันทิปตั้งแต่อยู่ม.6 (เกือบสิบปีแล้ว) ใช้พื้นที่ถนนนักเขียนในการโพสต์งานเขียนของตัวเอง นิยายแนววิทยาศาสตร์ชื่อ "ฯพณฯแห่งกาลเวลา" (ภัทรกาลกัป) เป็นนิยายเรื่องแรกของเธอที่เขียนลงในถนนนักเขียน เมื่อประมาณสิบปีก่อนสมัยที่หน้าเว็บบอร์ดยังเป็นสีดำ ปัจจุบันเธอมีหนังสือนิทาน แฟนตาซี นิยายวิทยาศาสตร์ และเล่าเรื่องตำนานเทพเจ้า ที่ถูกตีพิมพ์รวมแล้ว 12 เรื่อง เกือบทุกเรื่องล้วนเคยถูกโพสต์ลงในถนนนักเขียนพันทิป ก่อนจะนำไปตีพิมพ์

     เริ่มเลยดีกว่า...

ใช้เวลาช่วงไหนอ่านหนังสือ?

Clear Ice : "ไอซ์เป็นคนชอบอ่านหนังสือ เพราะฉะนั้นจะอ่านหนังสือเกือบตลอดเวลาที่มีช่วงว่าง ที่แน่นอนก็คือ วันหยุดที่มีเวลามากๆ สำหรับวันธรรมดา ช่วงเวลาก่อนนอน เข้าห้องน้ำ (หัวเราะ) ตอนขับรถถ้าติดไฟแดงนานๆ บางทีก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเหมือนกัน ...เวลาออกไปทำธุระข้างนอกจะมีหนังสือติดตัวไว้เล่มหนึ่งเสมอ มีช่องเวลาว่างหรือต้องรออะไรก็หยิบขึ้นมาอ่านค่ะ"

ลวิตร์ : "ไม่มีเวลากำหนดแน่นอน อยากอ่านเมื่อไหร่ก็อ่านเลย (ถ้าไม่ใช่เวลาทำงาน) เป็นคนชอบอ่านหนังสือค่ะ"

ในแต่ละวันใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเยอะไหม?

Clear Ice : "เยอะพอสมควรค่ะ ในที่ทำงานก็ใช้ทำงานอยู่แล้ว แต่การใช้เน็ตที่ทำงาน ส่วนใหญ่จะใช้หาข้อมูลเกี่ยวกับงาน หรือติดต่องาน สำหรับที่บ้านก็ออนไลน์เกือบทุกวัน"

ลวิตร์ : "เยอะค่ะ เวลาทำงานก็ใช้คอมพิวเตอร์ตรวจงาน ส่งอีเมล์ติดต่อ เวลาว่างยังใช้แต่งเรื่อง แชทกับเพื่อน เขียนบล็อก และดูเว็บไซต์ต่างๆ สรุปแล้วก็คือใช้ทั้งเวลาทำงานและเวลาพักผ่อน"

คุณมีแฟนคลับงานเขียนออนไลน์หรือไม่ วันหนึ่งใช้เวลากี่ชั่วโมง ในการคุยกับคนที่เขียนทักทายเข้ามาในเว็บ

Clear Ice : "จะเรียกว่าแฟนคลับได้ไหมก็ไม่รู้ค่ะ เรียกว่าเป็นพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ที่ติดตามข่าวสารและอ่านนิยายดีกว่า (ยิ้ม) เมื่อก่อนสมัยที่ยังเรียนหนังสืออยู่ จะพูดคุยทักทายกันทุกวัน แต่ช่วงหลังๆ นี้งานประจำเยอะมาก ก็จะคุยน้อยลง แต่จะพยายามตอบความคิดเห็นทุกสัปดาห์ค่ะ เวลาที่ใช้พูดคุยไม่แน่นอน ถ้าดองคำถามไว้นานก็จะใช้เวลาพิมพ์ตอบนานอยู่ค่ะ"

ลวิตร์ : "มีแฟนหนังสือที่ติดต่อกันบ้าง ส่วนใหญ่จะพูดคุยทาง msn มากกว่า และไม่ได้คุยกันอย่างคนเขียนกับคนอ่านเสมอไป แต่คุยกันเหมือนเพื่อน เป็นการพูดคุยเพื่อพักผ่อนและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น"

นักเขียนยุคใหม่มักทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ ต่างจากเมื่อก่อนที่ใช้มือเขียน แล้วคุณล่ะ?…

Clear Ice : "ไอซ์คิดว่านักเขียนแต่ละคนมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันอยู่แล้ว สำหรับการเขียนด้วยดินสอหรือปากกาลงกระดาษ หรือพิมพ์ลงในคอมพิวเตอร์เลยนั้น ขึ้นอยู่กับความถนัดของนักเขียนแต่ละคนค่ะ บางคนเห็นจอว่างเปล่าก็คิดไม่ออก ชอบเขียนความคิดลงกระดาษมากกว่า แต่บางคนถนัดพิมพ์ลงคอมพิวเตอร์เพราะสามารถแก้ไข ปรับเปลี่ยนได้ง่ายกว่า มีนักเขียนบางคนที่ไอซ์รู้จัก เขียนลงกระดาษก่อนเพื่อเรียบเรียงความคิด แล้วค่อยพิมพ์ลงคอมพิวเตอร์ก็มีค่ะ

     ข้อเสียสำหรับการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์... เรื่องไฟดับและข้อมูลหายนั้น เกิดขึ้นน้อยครั้งมากค่ะ ปกติไอซ์เป็นคนเซฟงานบ่อยอยู่แล้ว อีกอย่างหลังๆ ใช้แล็ปท็อปพิมพ์เป็นส่วนใหญ่ ไฟดับก็ยังมีแบตเตอรี่ ที่เคยเจอร้ายแรงคือไวรัสลงเครื่องค่ะ ทำเอาข้อมูลและงานเขียนเสียหายไปเยอะเหมือนกัน แต่นั่นก็นานแล้ว เก็บไว้เป็นบทเรียนที่จำแม่นและจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีก ...

      ไอซ์จะแนะนำพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ นักเขียนให้ทำแบบที่ตัวเองทำคือ สร้าง mail account ไว้สำหรับเก็บนิยาย เวลาที่เขียนจบหนึ่งบท หรือเขียนได้ยาวระดับหนึ่งแล้ว ให้ attach file งานเขียน ส่งอีเมลถึงตัวเอง ทีนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับไฟล์หลัก ก็ยังมีไฟล์ที่อยู่ในอีเมลเป็นแบ็คอัพอยู่เสมอค่ะ นี่ก็ช่วยในการเซฟไฟล์เก่าใหม่ทับกันด้วย เพราะฉะนั้นในอีเมล์ของไอซ์ ถ้ากำลังเขียนเรื่องไหนอยู่ก็จะมีหัวข้ออีเมลเรียงกันพรึ่บเลย"

ลวิตร์ : "ลายมือไม่สวยค่ะ อีกอย่างหนึ่ง แม้จะเขียนนิยายด้วยมือ ก็ต้องพิมพ์เป็นไฟล์เพื่อส่งลงบอร์ด หรือส่งให้บรรณาธิการเอาไปตีพิมพ์อยู่ดี เลยพิมพ์เอาดีกว่า เมื่อก่อนตอนเด็กๆ พิมพ์ดีดไม่เก่ง มาเก่งและคล่องเอาเมื่อแต่งนิยายเรื่องแรกนี่ละค่ะ

      ปัญหาคอมพิวเตอร์นั้นเป็นเรื่องที่นักเขียนทุกคนที่รู้จักเคยเจอ มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่กรณี แต่ละคนก็จะพยายามปรับตัวเพื่อแก้ปัญหา เช่น แบคอัพงานไว้หลายที่ เซฟบ่อยๆ หรือโพสต์ขึ้นบอร์ดเพื่อเป็นการเก็บข้อมูลอีกทางหนึ่ง ปัญหาเป็นเรื่องที่พบได้เสมอ ส่วนตัวคิดว่าแม้ในสมัยที่เขียนด้วยดินสอ ปากกา หรือเครื่องพิมพ์ดีด ก็คงมีปัญหาอื่นๆ เหมือนกัน ส่วนใครจะชอบแบบไหนมากกว่ากัน น่าจะเป็นเรื่องของความเคยชินและความสะดวกค่ะ"

คุณมีเวลาที่เหมาะสมของตัวเองในการสร้างสรรค์งานเขียนไหม.. ก่อนนอน หรือว่าตอนตื่นเช้า?

Clear Ice : "ไอซ์ไม่มีเวลาของวันที่แน่นอนในการเขียนนิยายค่ะ บางทีกลางวันเขียนได้เยอะกว่ากลางคืน บางทีกลางคืนเขียนได้เยอะกว่ากลางวัน บางทีต้องเขียนในที่เงียบๆ บางทีก็ชอบยกแล็ปท็อปไปนั่งพิมพ์ในร้านกาแฟ... เป็นบางอารมณ์มากกว่าค่ะ แต่ที่แน่ๆ ช่วงวันหยุดยาว จะเป็นช่วงที่ไอซ์เขียนนิยายได้ต่อเนื่อง และลื่นไหลมากกว่าวันธรรมดา เพราะสามารถรวบรวมความคิดและสมาธิให้จดจ่ออยู่กับนิยายได้ดีกว่า ซึ่งบางทีถ้าเครียดกับงานประจำมากๆ จะเขียนไม่ออกเลย"

ลวิตร์ : "ใช้เวลาหลังเลิกงานและตอนเช้าก่อนไปทำงานเพื่อเขียนหนังสือ บางทีเขียนตอนเย็น นอนไปคืนหนึ่ง ก็จะได้ไอเดียเอามาแก้ไขต้นฉบับให้ดีขึ้นในตอนเช้า แต่ตอนนี้อยากมีเวลามากกว่านี้สำหรับนิยายเหมือนกัน ต้องลองคิดดูว่าจะทำยังไงดี"

เขียนนิยาย ประสบการณ์ตรงจำเป็นไหมสำหรับการสร้างสรรค์งาน?

Clear Ice : "จำเป็นในระดับหนึ่งค่ะ การที่มีประสบการณ์ตรงในการเขียน ทำให้นักเขียนรู้เรื่องที่จะเขียนได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพแวดล้อม หรืออารมณ์ของตัวละคร ทำให้การเขียนลื่นไหล สมจริง และมีความผิดพลาดน้อย

     ไม่ใช่ว่าถ้าไม่เคยมีประสบการณ์ตรงแล้วจะเขียนถึงไม่ได้เลยนะคะ เขียนได้ค่ะ แต่นักเขียนจะต้องทำการบ้านหนักมากขึ้น ในการหาข้อมูลเพื่อประกอบการเขียนนิยาย ยกตัวอย่าง ถ้าต้องการเขียนนิยายที่มีประเทศเปรูเป็นฉาก คนที่เคยไปประเทศเปรูมาก่อน จะมีข้อมูลในการเขียนมากกว่าคนที่ไม่เคยไปมาก่อน มีภาพจริงเก็บอยู่ในความทรงจำที่สามารถนำเอามาใช้ได้ทันที คนที่ไม่เคยไปมาก่อนก็จะต้องทำการบ้านหนักกว่าเพื่อให้ได้ความสมจริงที่เท่าเทียมกัน หรือถ้าต้องการเขียนเกี่ยวกับคนบ้า แต่ไม่เคยพบ ไม่เคยสัมผัสกับคนบ้ามาก่อน ก็จะต้องอ่านหนังสือหาข้อมูล หรือไม่ก็ดูสารคดีช่วยประกอบ"

ลวิตร์ : "ประสบการณ์ตรงจำเป็นมาก เพราะการเขียนนิยายคือการสะท้อนตัวเรา ถ้าเราไม่รู้สึก คนอ่านก็ไม่รู้สึกด้วย แต่บางทีคนเรามีประสบการณ์ตรงไปหมดทุกอย่างไม่ได้ จึงต้องอาศัยการอ่านเรื่องของคนอื่นและศึกษาค้นคว้าด้วย"

นิยายออนไลน์มักมีปัญหาเรื่องก็อปปี้หรือลอกเลียน คุณเคยลอกงานเขียนของคนอื่นไหม?

Clear Ice : (หัวเราะ) ไม่เคยค่ะ ไม่เคยลอกงานเขียนของฝรั่ง ของไทย หรือของใครทั้งนั้น เรื่องลอกงาน สำหรับนักเขียนถือเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องน่ารังเกียจนะคะ ไอซ์แอนตี้มากด้วย
งานเขียนของไอซ์ส่วนใหญ่ อิงประสบการณ์จริง โดยเฉพาะงานเขียนช่วงแรกๆ นี่แทบจะเอาเรื่องของตัวเองมาเขียนทั้งหมด มางานเขียนช่วงหลังๆ ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากตำนานบ้าง จากประวัติศาสตร์บ้าง จากเรื่องที่เกิดขึ้นจริงบ้างค่ะ หรืองานเขียนล่าสุดที่กำลังจะวางแผงในเดือนต.ค. เรื่อง "ด้วยรักและฆาตกรรม" ก็มีการนำเอาธีมของเรื่อง "The Phantom of the Opera" มาเล่นผสมผสานกับข่าวของวงการบันเทิงไทยบ้าง แต่ไม่เคยลอกแน่นอนค่ะ

ลวิตร์ : "ไม่เคยค่ะ เขียนนิยายเพราะชอบเขียนเพราะมีเรื่องที่อยากเล่า คนที่ลอกงานคือคนที่ต้องการอย่างอื่น ...คำถามข้อนี้นี่ออกจะแรงเอาเรื่องอยู่นะคะ (ยิ้ม)"

มีคนบอกว่า การเขียนลงเว็บมีความเสี่ยงในการถูกก็อปปี้หรือลอกเลียนไอเดีย จึงควรเก็บไว้แล้วเอาไปเสนอสำนักพิมพ์โดยตรงจะดีกว่า คุณมีความคิดเห็นอย่างไร?

Clear Ice : การทำทั้งสองอย่างมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันค่ะ การเขียนลงเว็บจะมีคนเข้ามาอ่าน ให้ความคิดเห็น ซึ่งนักเขียนสามารถโต้ตอบ อธิบาย และนำความคิดเห็นเหล่านั้น ไปปรับปรุงงานเขียนของตัวเองให้ดีและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ก่อนจะส่งสำนักพิมพ์ ซึ่งก็เหมือนกับมีบรรณาธิการอาสามาช่วยอ่าน และขัดเกลาผลงานไปขั้นหนึ่งแล้ว ถ้าเขียนเก็บไว้ในเครื่องและส่งสำนักพิมพ์เลย ก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากการ "ช่วยอ่าน" ตรงนี้

      เรื่องลอกเลียนนั้นเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวในวงการวรรณกรรมและอีกหลายๆ วงการ ... แต่ก็มีวิธีที่ป้องกันและเตรียมแก้ไขได้ในระดับหนึ่ง ถ้าจะให้ไอซ์แนะนำก็คือ อย่าโพสต์งานลงหลายที่เกินไป เลือกโพสต์งานแค่ 1-2 แห่งก็พอ เพราะจะทำให้ตรวจสอบ และติดตามได้ง่ายกว่า ควรเลือกโพสต์งานลงเว็บไซต์ที่มีระบบสมาชิกที่ดี สามารถยืนยันตัวบุคคลเจ้าของผลงานได้ และก่อนจะโพสต์ผลงานจะต้องล็อกอินทุกครั้ง ถ้าทำแบบนี้แล้ว สิ่งที่ปรากฎอยู่บนเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นชื่อผู้โพสต์ เนื้อหาของงาน และวันที่ จะเป็นหลักฐานอย่างดี ที่จะช่วยได้หากเกิดกรณีลอกเลียนในภายหลัง เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นที่ถนนนักเขียนมาแล้ว มีคนลอกเลียนงานจากถนนนักเขียนไปประกวดแล้วได้รางวัลด้วย พอดีว่าผู้ถูกลอกเลียนเป็นสมาชิกของพันทิป ล็อกอินก่อนโพสต์งาน ทำให้ฝ่ายที่ลอกเลียนไม่สามารถแก้ตัวได้ค่ะ"

ลวิตร์ : "การเขียนลงเว็บทำให้ได้รับฟีดแบ็คจากคนอ่าน เป็นการดูปฏิกิริยาของคนอ่านในเบื้องต้น และให้กำลังใจตัวเองในการเขียนต่อ เพราะเมื่อมีคนอ่านชอบ มีคนอ่านอยากอ่าน แม้เวลาที่ลำบาก เขียนติดขัด หรือไม่มีเวลา ก็ยังรู้สึกว่ายังมีคนรออยู่นะ ต้องพยายาม ...ส่วนเรื่องลอกเลียนไอเดียหรือก็อปปี้นั้น ส่วนตัวเจอน้อยมาก อาจจะเพราะวิธีเขียนมีความเป็นเอกลักษณ์ค่อนข้างสูง และเขียนเรื่องในแนวที่คนไม่ค่อยรู้สึกอยากลอกก็ได้"


 (c) 2009 Pantip.com All Rights Reserved.
คลิกที่นี่ หากท่านไม่ต้องการรับข่าวสารจากเราอีกต่อไป | ติดต่อทีมงาน